(พัก เอซาเวร่า
1 คืน, มาราเกช 2 คืน, วอซาเซท 1 คืน, ทะเลทราย 1 คืน, เฟส 2
คืน, คาซาบลังกา 1 คืน) |
โอเชี่ยนสไมล์
ทัวร์ ขอเสนอโปรแกรมทัวร์โมรอคโค นำเที่ยว ราชอาณาจักรโมรอคโค
ดินแดนที่เชื่อต่อของแอฟริกาตะวันตกกับยุโรป ที่มีวัฒนธรรมโบราณมาอย่างยาวนาน
เต็มไปด้วยลวดลายสีสันที่เรารู้จักกันในนาม กระเบื้องโมเสก
นำท่านเที่ยวชม คาซาบลังกา เมืองแห่งตำนานภาพยนตร์ชื่อดังในอดีต
สัมผัสบรรยากาศเมืองริมขอบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก เมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ชม เมืองเฟส เมืองที่คงเสน่ห์ความเป็นโมร็อกโกไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
การเดินเล่นในเมืองเก่าให้ความรู้สึกเหมือนการย้อนเวลาสู่อดีต
ที่ท่านให้ท่านซึมซับบรรยากาศในเมืองเก่าอย่างแท้จริง ซึ่งไม่มีที่ใดจะเสมอเหมือนได้
ชม เมืองไอท์ เบนฮาดดู (Ait Benhaddou)
เมืองแห่งการถ่ายทำภาพยนต์ มีภาพยนตร์มากกว่า 20 เรื่องที่มาถ่ายทำที่เมืองนี้
ชม เมืองมาราเกช มหัศจรรย์แห่งเมืองโอเอซิสบนลุ่มน้ำเทนซิฟท์
อดีตเมืองหลวงแห่งราชวงศ์ อัลโมราวิด เมืองนี้ถูกกล่าวขานให้เป็น
A City of Drama ชม เมืองเอลจาดีดา
เมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนอ่าวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค โดยทีมงานมัคคุเทศก์ที่ชำนาญงาน
ที่พักแบบมาตรฐานและบริการอาหารเลิศรสของชาวโมร็อกโก |
บินเข้า-ออก คาซาบลังก้า โดยสายการบิน Etihad Airways
เส้นทางท่องเที่ยวเป็นวงกลม เที่ยวครบเมืองสวย ชมธรรมชาติอันหลากหลาย
ไม่วนรถไปมา
ชมเมืองเมืองสีขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองหลวงแห่งโมรอคโค
ณ เมืองราบัต
สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งโมรอคโค ที่บ้านเรือนที่ทาทาบด้วยสีฟ้าขาว
เชฟ ชาอูน
ตื่นตากับเมืองเฟส เมืองหลวงเก่าในศ.ต. ที่ 8 ที่ได้ชื่อว่ามีองที่มีตรอกมากที่สุดในโลกถึง
9,400 ตรอก
ชมร่องรอยความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันในอดีต เมืองโรมันโบราณ
โวลูบิลิส
มาราเกช (Marakesh) Pink City หรือ เมืองสีชมพู ที่มีจตุรัสอันเป็นกลิ่นอายอาหรับในสมัยโบราณที่ยังคงอยู่
รับประทานอาหารค่ำพร้อมชมโชว์ ศิลปวัฒนธรรม ของนักรบหลังม้าชาวเบอร์เบอร์
ที่ เชส อาลี แฟนตาเซียโชว์
นั่งรถ 4 WD และ ขี่อูฐชมเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า
ที่เมอร์ซูก้า Merzouga ในทะเลทรายซาฮาร่า
พักโรงแรมมาตรฐาน ระดับ 4-5 ดาว |
ข้อมูลการเตรียมตัวก่อนเดินทาง
|
เวลา : เวลาในประเทศโมรอคโค
ช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง |
ภาษา : ภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่น |
ไฟฟ้า :
220 โวลต์ สามารถเสียบชาร์จอุปกรณ์มือถือ หรือกล้องถ่ายรูปได้ตามปกติ |
น้ำหนักกระเป๋า
: น้ำหนักสัมภาระคนละ
20 กิโลกรัม |
|
|
โปรแกรมการเดินทาง |
ทริปวันที่ 19 - 29 ตุลาคม 2559 : ราคาท่านละ 82,900.-บาท
(เปิดจองแล้ว) |
ทริปวันที่ 30 พฤศจิกายน 10 ธันวาคม 2559 : ราคาท่านละ 82,900.-บาท
(เปิดจองแล้ว) |
ทริปวันที่ 28 ธันวาคม - 7 มกราคม 2560 : ราคาท่านละ 85,900.-บาท
(เปิดจองแล้ว) |
วันแรก
: สนามบินสุวรรณภูมิ - กรุงอาบูดาบี้ |
17.00
น. |
พร้อมกันที่
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชั้น
4 ประตู 8 - 9 เคาน์เตอร์เช็คอินแถว Q สายการบิน
Etihad Airways เจ้าหน้าที่บริษัทฯ ให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินท์ |
20.35
น. |
ออกเดินทางสู่ กรุงอาบูดาบี้
(ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สายการบิน Etihad Airways
เที่ยวบินที่ EY 401 (บนเครื่องมีบริการอาหารครับ ใช้เวลาบิน
7 ชั่วโมง) |
00.10
น. |
ถึง สนามบินกรุงอาบูดาบี้
(ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) แวะเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อเดินทางต่อไป
เมืองคาซาบลังกา ประเทศโมร็อกโก |
วันที่สอง
: อาบูดาบี (Abu Dhabi) คาซาบลังก้า (Casablanca) เอลจาดีด้า
(El Jaida) - เอซาเวร่า (Essaouira) |
02.30
น. |
ออกเดินทางสู่ เมืองคาซาบลังกา
โดยสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินที่ EY 613 (บนเครื่องมีบริการอาหารครับ
ใช้เวลาบิน 9.10 ชั่วโมง) |
07.40
น. |
ถึง สนามบินนานาชาติเมืองคาซาบลังก้า
(Casablanca) ประเทศโมรอคโค (เวลาท้องถิ่น ช้ากว่าประเทศไทย
7 ช.ม.) นำท่านผ่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร พบมัคคุเทศก์ท้องถิ่นแล้ว
นำท่านสู่ เมืองคาซาบลังก้า จากนั้นเดินทางมุ่งลงไปทางใต้เลาะเลียบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกไปยัง
เมืองเอลจาดีด้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ
3 ชั่วโมง |
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารท่านชม เมืองเอลจาดีด้า
เดิมชื่อ มาซากัน (Mazagan) เป็นภาษาโปรตุเกส เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนอ่าวชายฝั่งทะเลแอตแลนติค
เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโมรอคโคที่ทำการค้ากับชาวฟินีเชียน
ต่อมาปี ค.ศ. 1502 ชาวโปรตุเกสขึ้นฝั่งที่นี่และได้สร้างป้อมปราการ
เรียกว่า El Brijia El Jaida
หลังจากมีการสร้างเมืองขึ้นในปี ค.ศ. 1506 ได้เรียกเมืองว่ามาซากัน
ซึ่งกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของชาวโปรตุเกส ในปี ค.ศ.1562
ป้อมถูกโจมตีโดยโดยชาวอาหรับแต่ไม่สำเร็จ ระหว่างค.ศ.1580
- 1640 ตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวสเปน และกลับมาถูกปกครองโดยชาวโปรตุเกสอีกครั้ง
ชมสถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนอิทธิพลระหว่างวัฒนธรรมยุโรปและโมรอคโค
ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2004 นำท่านชมคุกใต้ดินที่เคยใช้เป็นที่คุมขังของทาสในสมัยโปรตุเกส
และเป็นคลังเก็บอาวุธสงคราม ได้เวลาพอสมควรนำท่านเดินทางต่อสู่
เมืองเอซาเวร่า (Essaouira) เอซาเวร่า
หมายถึงรูปภาพ ไม่ว่าจะถ่ายจากมุมไหนๆ ภาพที่ได้มานั้นจะออกมาสวยอย่างไม่มีที่ติ
เอซาเวร่า เป็นเมืองเล็กๆ ริมขอบมหาสมุทรแอตแลนติก ที่มีเสน่ห์อย่างเป็นเอกลักษณ์
ในเขตเมืองเก่า(เมดิน่า) มีกำแพงเมืองเก่าขนาดหนาซ้อนกัน 2
ชั้น ที่ใช้ป้องกันพายุหน้าร้อนที่พัดมาประจำทุกปี บ้านเรือนและร้านค้าภายในเขตกำแพงเมืองทำด้วยปูนสีขาวกลมกลืนไปกับประตูสีฟ้า
สถาปัตยกรรมเหล่านี้ถูกหล่อหลอมมาจากวัฒนธรรมอันหลากหลาย ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นแหล่งที่อยู่ของพ่อค้าชาวยิว
และชาวยิวกลุ่มนี้เองที่เคยเปลี่ยนเมืองนี้เป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดของโมรอคโคในศตวรรษที่
17 และ 18 ชมพระอาทิตย์ตก ณ.ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกที่ ป้อมปราการเมือง
Skala de laville ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเมือง
สวนบนป้อมมีปืนใหญ่วางเรียงรายอยู่เป็นแนวแถว และในอดีตส่วนล่างของป้อมใช้เป็นคลังเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์
โรงม้าศึกที่ใช้ในการสงคราม |
เย็น |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
พักค้างคืนเมืองเอซาเวร่า โรงแรม ATLAS ESSAOUIRRA & SPA
HOTEL ระดับ 5 ดาว |
วันที่สาม
: เอซาเวร่า (Essaouira) มาราเกช (Marakesh) - พระราชวังบาเฮีย |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองมาราเกช
(Marakesh) (ระยะทาง 176 กม.) เมืองมาราเกชเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส
ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้ เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐ ที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค
ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัลโมราวิด
ช่วงศ.ต.ที่ 11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด
สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ
ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink
City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง
จึงได้สมญานามว่าเป็น A city of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้
|
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านออกเดินทางเยี่ยมชม พระราชวังบาเฮีย
(Bahia Palace) เป็นพระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต
สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa สถาปัตยกรรมออกเป็นแนวสมัยใหม่
โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น
แต่ด้วยความที่มีการวางแผนก่อสร้างและตกแต่งอย่างเร่งรีบ จึงเป็นที่วิจารณ์กันว่ารายละเอียดหลายๆอย่างในพระราชวังแห่งนี้ยังไม่สมบูรณ์ลงตัว
พระราชวังมีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น (Stucco) มีการวาดลายบนไม้
และประดับประดาด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงามละเอียดอ่อนมาก
จากนั้นเดินทางต่อไปชม สุสานแห่งราชวงศ์ซาเดียน
(Saadian Tombs) เป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์ในสมัยราชวงศ์ซาเดียน
สถานที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมากกว่า 2 ศตวรรษ ภายหลังได้รับการบูรณะ
และเปิดให้เข้าชมความงดงามของงานศิลปะแบบมัวริส (Moorish)
ความวิจิตรอลังการของห้องโถงภายใน เสาคอลัมน์หินอ่อนสีสวย
ลวดลายงานปูนที่ประดับประดาบนผนังและเพดาน สวนสวยภายนอกที่สร้างขึ้นใหม่
โดยเขาว่าเป็นการทำตามแบบสวนสวรรค์ของพระอัลเลาะห์ (Allah's
Paradise) จากนั้นนำท่านชม จัตุรัสกลางเมือง
Djemaa Fnaa Square ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคาร
ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน เดินเล่นถ่ายรูปความมีชีวิตชีวา
ที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้ พร้อมจับจ่ายหาซื้อของฝาก
ของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ ได้ที่ ตลาดเก่า
(Old Market) ที่อยู่รายรอบจัตุรัสอย่างเพลิดเพลิน |
เย็น |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
พักค้างคืนเมืองมาราเกช KENZI FARAH HOTEL ระดับ 4 ดาว |
วันที่สี่
: สวนจาร์ดีน มาจอแรล - มัสยิด คูตูเบีย - Fantasia Show |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านเดินทางชม สวนจาร์ดีน
มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือ สวนยิปแซงลอเร้นซ์ (Yves
Saint Laurent Gardens) ชื่อนี้เป็นที่คุ้นเคยของสาวๆ
ที่ชื่นชอบแฟชั่นสุดหรูของ Yves St. Laurent นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์แห่งปารีส
ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสวนแห่งนี้ ในช่วงที่โมรอคโคตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส
ยิปแซงลอเร้นซ์มาที่ประเทศโมรอคโค เพื่อพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดจากงานออกแบบแฟชั่นโชว์
บ้านหลังนี้เคยตกเป็นของเศรษฐีแห่งมาราเกช หลังจากยิปแซงมาเยือนมาราเกช
ก็ได้เกิดความหลงใหลในเมืองแห่งนี้ และซื้อบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่พักผ่อน
ชมสวนที่ถูกออกแบบโดยใช้สีฟ้าและสีส้มเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเสา
แจกัน และชมนานาพรรณของต้นไม้แห่งทะเลทราย ที่จัดได้อย่างสวยงาม
นำท่านชม มัสยิด คูตูเบีย (Koutoubia
Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่เก่าแก่ที่สุดในเมือง ไม่ว่าจะเดินไปแห่งใดในตัวเมืองก็จะเห็นมัสยิดนี้ได้
จากหอวังที่มีความสูง 226 ฟิต (70 เมตร)
|
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านเดินทางชม สวนเมนารา
(Menara Garden) ซึ่งแต่เดิมสร้างเป็นบ่อเก็บน้ำ และล้อมรอบด้วยต้นมะกอกและสน
มีตัวอาคารที่งดงามและเทือกเขาแอตลาสเป็นฉากหลัง เป็นสวนต้นแบบที่ราชวงศ์โมรอคโคนิยมกันในเวลาต่อมา
จากนั้นชมงานสถาปัตยกรรมผลงานที่เก่าแก่ในเขตเมืองเก่าของมาราเกช
Ben Youssef Madrasa ในอดีตสร้างขึ้นเพื่อเป็นวิทยาลัยของชาวมุสลิม
ในสมัยสุลต่านอลิเบนยูซูฟ แต่มาถูกค้นพบในสมัยราชวงศ์เมเรนิด
ในศ.ต.ที่ 14 กล่าวกันว่าเป็นโรงเรียนสอนศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาเหนือในขณะนั้น
|
เย็น |
บริการอาหารเย็นที่
Fantasia ท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของสถานที่และสีสันของชาวโมรอคกันเบอร์เบอร์ที่ต้อนรับท่านด้วยอาหารและพร้อมชม
การแสดงพื้นเมือง โชว์โมรอคโค
พักค้างคืนในมาราเกชโรงแรม KENZI FARAH HOTEL ระดับ 4 ดาว
|
วันที่ห้า
: มาราเกช (Marakesh) - ไอท์ เบน ฮาดดู (Ait Benhaddou)
วอซาเซท |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านออกเดินทางสู่ เมืองไอท์
เบนฮาดดู (Ait Benhaddou) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองมาราเกช
(ระยะทางประมาณ 220 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง) เส้นทางข้ามเทือกเขาไฮแอทลาส
ทางคดเคี้ยวกับภูเขาสลับซับซ้อน สลับกับทุ่งเกษตรแบบขั้นบันได
ให้ท่านเพลินตากับสีสัน วิถีชีวิตของคนท้องถิ่น
|
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านชม เมืองไอท์ เบนฮาดดู
เป็นเมืองที่ชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า
20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในโมรอคโคภาคใต้
คือ ป้อมไอท์ เบนฮาดดู (Kasbash of
Ait Ben Hadou) เป็นป้อมหินทรายซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์
เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนต์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ
Lawrance of Arabia , Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก้
จากนั้นเดินทางต่อตามถนนคาซบาห์ที่มีป้อมหลายร้อยแห่งตั้งเรียงรายตามถนนดังกล่าวสู่
เมืองวอซาเซท (จากไอท์เบนฮาดดูใช้เวลาประมาณ
40 นาที) เมืองวอซาเซท (Ouarzazate)
เคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร
วอซาเซทเป็นเมืองถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่แวดล้อมไปด้วยสตูดิโอภาพยนตร์
และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อการทำกิจกรรมต่างๆ เช่นการขี่มอเตอร์ไซด์
อูฐ กิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย (สำหรับในฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ
พ.ย. เม.ย.) ควรเตรียมเสื้อกันหนาวให้เพียงพอ เพราะเมืองนี้อยู่ใกล้ภูเขาแอตลาส
ที่มีหิมะปกคลุมในช่วงดังกล่าว วอซาเซท อาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความแตกต่าง
และความผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ไหน วอซาเซทเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของทางตอนใต้
และที่นี่ยังเป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันออก
สำหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ชอบรสชาติของความเป็นทางใต้ ณ
จุดกึ่งกลางแห่งนี้ และยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสำรวจเมืองต่างๆได้ทุกวัน
นำท่านชม ป้อมทาเริท (Kasbah Taourirt)
เป็นป้อมแห่งตระกูลกลาวี ภายใต้หมู่อาคารขนาดใหญ่ ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องต่างๆจำนวนมากซ่อนอยู่เชื่อมต่อกันด้วยถนนเล็กๆ
และเส้นทางลับคดเคี้ยวตามอาคารที่เบียดเสียดกัน พระราชวังของผู้ปกครองมาราเกซ
ตระกูลกลาวี (Glaoui Palace) อยู่ภายใน ซึ่งยังมีลวดลายผนังอาคารและรูปแบบสถาปัตยกรรมอันหลากหลายของการสร้างอาคารของชาวเบอร์เบอร์
การออกแบบอาคารซึ่งเหมาะกับความเชื่อและความเป็นอยู่ของเหล่าเจ้าผู้ปกครองในยุคของตระกูล
Glaoui ที่นี่มีคนงานและคนรับใช้จำนวนหลายร้อยคนจึงต้องมีห้องเป็นจำนวนมาก
มีทั้งส่วนที่เป็นวังเก่า ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง บางห้องก็ว่างเปล่า
ยูเนสโก้ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาจากอาคารเดิมเพียง 1 ใน 3 ของอาคารทั้งหมด
|
เย็น |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
พักค้างคืนในเมืองวอซาเซท HOTEL KARAM FRAMISSIMA ระดับ 4
ดาว
|
หมายเหตุ คืนนี้กรุณาจัดเตรียมเสื้อผ้าและของใช้จำเป็น
ใส่กระเป๋าเล็ก เพื่อใช้ในการค้างแรมในทะเลทรายซาฮาร่า ในคืนพรุ่งนี้ |
วันที่หก
: วอซาเซท ทินเฮียร์ (Tineghir) ทอด้าจอร์จ (Todra Gorge)-
เออร์ฟอย์ด (Erfoud) |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองเออร์ฟอย์ด
เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางกองคาราวานพี่อค้าที่เดินทางมาจากตะวันออกกลาง
อย่างซาอุดิอารเบียและซูดาน บนเส้นทางผ่านข้ามเขตแห้งแล้งแต่มีโอเอซิสที่หุบเขาเดดสส์
(Dades) ซึ่งแนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม
ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆสวยงาม แวะชมผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกุหลาบที่
เมือง Boumaln City (เทศกาลกุหลาบประมาณเดือนพฤษภาคม)
แวะชม โอเอซิส Tinerhir ชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน
ท่ามกลางความแห้งแล้ง ยังมีความชุ่มชื้นของโอเอซิส ต้นปาล์ม
เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากวอซาเซท จากนั้นเดินทางสู่
ทอด้าจอร์จ ชมความงามของช่องเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในโอเอซิส
ลำน้ำเกลือที่ไหลผ่านช่องเขา กับหน้าผาสูงชันแปลกตา เป็นแหล่งปีนหน้าผาสำหรับนักเสี่ยงภัยทั้งหลาย
|
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองเออร์ฟอย์ด
ระหว่างทางจะผ่านโอเอซิส การทำระบบชลประทานใต้ดิน (ใครที่เคยเที่ยวเส้นทางสายไหมในจีนมาแล้วคงพอจะนึกออก)
ก่อนเข้าที่พักแวะชม ฟอสซิลเวิร์ด จากนั้นนำท่านเปลี่ยนเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
เดินทางสู่ทะเลทรายซาฮาร่า เข้าสู่ที่พักโรงแรมกลางทะเลทรายซาฮาร่า
AUBERGE DU SUD MERZOUGA
|
ค่ำ |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
พักผ่อนนอนดูดาวตามอัธยาศัย พักผ่อนค้างคืนในทะเลทรายซาฮาร่า
AUBERGE DU SUD MERZOUGA
|
วันที่เจ็ด
: มอร์ซูก้า (Merzouga) - อิเฟรน (Ifrane) - เฟซ (Fes) |
05.00
น. |
ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
นำท่านขี่อูฐชมเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินทรายในทะเลทรายซาฮาร่า
ทะเลทรายซาฮาร่า (SAHARA DESERT) เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ
มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ)
และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์
สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์
หากมีสัตว์และพืชพันธุ์ใดที่สามารถเติบโตในทะเลทรายได้ ก็ต้องปรับตัวกันอย่างมาก
เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหาวิธีในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้
ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าในทะเลทรายซาฮาร่า จากสภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทรายมีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทราย
เกือบเป็นศูนย์ตลอดปี ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเนินทราย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงาม
น่าประทับใจ ได้เวลานำท่านขี่อูฐกลับสู่โรงแรมที่พัก |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำคณะนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4x4 ออกจากทะเลทรายซาฮาร่า
มุ่งหน้าสู่ เมืองเออร์ฟอย์ด (Erfoud)
เพื่อเปลี่ยนเป็นรถโค้ชเดินทางสู่ เมืองเฟซ
(Fes) เส้นทางผ่านเทือกเขาแอตลาส ชื่อที่คุ้นเคยกันมานาน
สองข้างทางเปลี่ยนสภาพจากความแห้งแล้วเป็นป่าไม้ พุ่ม และสลับกับความแห้งแล้งของภูเขา
ผ่าน Ziz Valley ก่อนข้าม Middle
Atlas ผ่าน เมือง Midelt
|
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านเดินทางข้าม Middle Atlas ภูมิประเทศเขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้
บางช่วงต้นไม้พุ่มเตี้ยแปลกตา สวนต้นซีดาร์ ผ่านเส้นทางความสูง
3,090 เมตร และต้นสนขนาดใหญ่ เข้าสู่ เมืองอิเฟรน
(Ifrane) ห่างจากเฟซ ลงทางใต้ประมาณ 60 กม. ที่ความสูงประมาณ
1650 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ที่พักตากอากาศซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างขึ้นบริเวณนี้
ในช่วง ค.ศ. 1930 บางครั้งเรียกเมืองแห่งนี้ว่า เจนีวาแห่งโมรอคโค
บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้บานและทะเลสาบสวยงาม
เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน
จากนั้นเดินทางต่อเพื่อเข้าสู่ เมืองเฟซ
เมืองเฟซซึ่งยังคงมีบรรยากาศของเมืองโบราณที่ผู้คนยังใช้ลาเป็นพาหนะและบรรทุกของกันอยู่
สัมผัสบรรยากาศเมืองเก่าแก่ที่สุดในบรรดาเมืองอิมพิเรียลทั้งสี่
|
ค่ำ |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
พักค้างคืนในเมืองเฟซ BARCELO HOTEL ระดับ 4 ดาว |
วันที่แปด
: เฟซ (Fes) - เมดิน่าแห่งเฟส |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านชม เมืองเฟซ (Fes)
เมืองหลวงเก่าในศ.ต. ที่ 8 ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
เป็นเมืองแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโมรอคโค เริ่มด้วยจุดชมวิวบนป้อมปราการแห่งราชวงศ์ซาเดียน
ต่อด้วยชม ประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟซ
(The Royal Palace) ที่มีทหารยามยืนเฝ้าหน้าประตูอย่างสง่างาม
ประตูทางเข้าพระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างาม เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมรอคโค
บริเวณใกล้เคียงพระราชวังเคยเป็นชุมชนชาวยิวที่ทำรายได้ให้แก่ราชวงศ์
เพราะชาวยิวฉลาดทำการค้าเก่ง แต่ปัจจุบันชาวยิวส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับไปอยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญา
(ประเทศอิสราเอล) คงเหลือชาวยิวอยู่ไม่มากนัก ชม ชุมชนชาวยิว
(The Synagouge) ที่มาอาศัยอยู่ตั้งแต่ในสมัยศ.ต.ที่
7 ซึ่งกระจายอยู่ทุกเมืองในอดีต ชาวยิวเป็นชนชาติที่ขยัน ฉลาด
ส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นพ่อค้า จึงทำให้สุลต่านและกษัตริย์ในอดีตนำชาวยิวมาเป็นบริวารอยู่โดยรอบวัง
เพื่อการเก็บภาษีจากการค้าได้ง่ายขึ้น
จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่เขาวงกตอันซับซ้อนแห่ง เมดินาเมืองเฟซ
ผ่าน ประตู Bab Bou Jeloud ที่สร้างตั้งแต่ปี
1913 ที่ใช้โมเสดสีฟ้าตกแต่ง เดินผ่านเข้าไปในเขตเมดิน่าแล้วเหมือนข้ามกาลเวลาย้อนสู่อดีต
นำท่านเดินผ่านตลาดสดขายข้างปลาอาหาร และผัก ผลไม้สดต่างๆนาๆ
ชม เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (Merdersa Bou Imania) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์
เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงามประณีต ในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น
100 ส่วน มีซอยกว่า 10,000 ซอย มีซอยแคบสุดคือ 50 ซ.ม. ถึงกว้าง
3 เมตร จะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง
ทองแดง จะมีร้านค้าเล็กๆที่หน้าร้านจะมีหม้อ กะทะ อุปกรณ์เครื่องครัว
วางแขวนห้อยเต็มไปหมด ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม
ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ และย่านเครื่องเทศ (Souk
El Attarine) ท่านจะได้สัมผัสทั้งรูป รสและกลิ่นในย่านเครื่องเทศที่มีการจัดเรียงสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม
ระหว่างที่เดินตามทางในเมดิน่าท่านจะได้พบกับน้ำพุธรรมชาติ
(Nejjarine Fountain) เพื่อให้ชาวมุสลิมให้ล้างหน้าล้างมือก่อนเข้าในบริเวณมัสยิด
นอกจากนี้ที่ตามซอกมุมอาจเห็นภาพชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลักไม้ชิ้นเล็กๆอยู่บริเวณตามทางเดินแคบๆในเขตเมืองเก่า
บางทีเราก็ยังจะเห็นผู้หญิงที่นี่สวมเสื้อผ้าที่ปิดตั้งแต่หัวจนถึงเท้าจะเห็นได้ก็เฉพาะตาดำอันคมกริบเท่านั้น
แวะชม สุสานของมูเล ไอดริสที่ 2
(Moulay Idriss Mausolem II) ที่ชาวโมรอคโคถือว่าเป็นแหล่งมาแสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์
|
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคารในเมดิน่า
หลังอาหารนำท่านเดินต่อในเมดิน่าแห่งเฟส ผ่านชม สุเหร่าใหญ่ไคเราวีน
(Kairaouine Mosque) ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมรอคโคและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
(เฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น) จากนั้นนำท่านเดินชมย่านเครื่องหนัง
แวะชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณ
ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก้
ทั้งหมดนี้เป็นเสน่ห์ของการเดินเที่ยวชมเมืองที่ต้องเดินแหวกว่ายเข้าไปในกลุ่มคนชาวพื้นเมือง
ช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่น เมืองเฟซจึงเป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอย่างยิ่ง
|
ค่ำ |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
พักค้างคืนในเมืองเฟซ BARCELO HOTEL ระดับ 4 ดาว |
วันที่เก้า
: เฟซ - เมืองโรมันโวลูบิลิส - เมคเนส (Meknes) ราบัต (Rabat)
คาซาบลังก้า |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านออกเดินทางสู่ เมืองเมคเนส
(Meknes) แวะชม เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส
(Roman city of Volubilis) ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี
ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต
ผ่านชม เมืองมูเล ไอดริส (Moulay Idriss)
เมืองโรมันโบราณเมืองหนึ่งที่เป็นเมืองศูนย์กลางศาสนาอันศักดิ์สิทธิของชาวมุสลิมในโมรอคโค
ทุกๆปี ช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน จะมีเหล่านักจาริกแสวงบุญมาเยือนเมืองแห่งนี้เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา
เปรียบได้กับเมืองเมกกะของประเทศซาอุดิอารเบีย จากนั้นเดินทางต่อสู่
เมืองเมคเนส เป็นเมืองหลวงโบราณในสมัยสุลต่านมูเล
อิสมาอิล (Mouley Ismail) แห่งราชวงศ์อะลาวิท (Alawite Dynasty)
กษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามใน ศ.ต. ที่ 17 ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง
เมกเนสจึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ
ก่อนถึง ชมกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม.
ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู ชม ประตูบับมันซู
(Bab Mansour Monumental Gate) ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด
ตกแต่งด้วยโมเสดและกระเบื้องสีเขียวบนผนังสีแสด |
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารเดินทางสู่ เมืองราบัต นำท่านชมเมืองราบัตเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรมาตั้งแต่ปีค.ศ.1956
เมื่อโมรอคโคหลุดพ้นจากการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของฝรั่งเศส
และเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบทูตานุทูตจากต่างแดน
เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม นำชม
ป้อมไอดูยะ ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้นที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก
ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ ด้านในเป็นเมดิน่า บ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้าที่สะอาดตาน่าเดินเล่น
(ทายซิว่าทำไมเมดิน่าแห่งนี้ จึงใช้สีฟ้า ) จากนั้นชม สุเหร่าหลวง
และ พระราชวังหลวง ที่ทุกเที่ยงวันศุกร์ กษัตริย์แห่งโมรอคโคจะทรงม้าจากพระราชวังมายังสุเหร่า
เพื่อประกอบศาสนกิจ ชม สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่
5 พระอัยกาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีทหารยามยืนเฝ้าสง่าทุกประตู
และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง
ด้านหน้าของสุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่
2 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง
183 x 139 เมตร ได้เวลาพอสมควร เดินทางสู่ เมืองคาซาบลังก้า |
เย็น |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
หลังอาหารพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ในเมืองคาซาบลังก้า GOLDEN
TULIP HOTEL ระดับ 5 ดาว |
วันที่สิบ
: คาซาบลังก้า - กรุงอาบูดาบี้ |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านเที่ยวชม เมืองคาซาบลังก้า
'คาซาบลังก้า' หมายถึง บ้านสีขาว คำว่า 'คาซา' แปลว่า บ้าน
และ 'บลังกา' แปลว่า สีขาว เป็นเมืองที่คนทั่วโลกรู้จัก และอาจรู้จักมากกว่า
'ราชอาณาจักรโมรอคโค' ด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะเป็นเมืองท่าและเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานระหว่างประเทศแล้ว
ยังถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง Casablanca (โดยที่ไม่ได้ถ่ายทำในคาซาบลังก้าเลย)
เป็นเรื่องราวความรักระหว่างนายทหารอเมริกันและหญิงคนรัก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 ทำให้คาซาบลังก้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของโมรอคโคที่มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณเกือบ
5 ล้านคน นำท่านชม สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่
2 มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองเมกกะ สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง
ชมทิวทัศน์รอบๆ สุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งทะเล ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่สวยงามของชาวโมรอคโคที่ชอบมาเดินเล่นหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแล้ว
|
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านชม โบถส์คริสเตียน
(The Church of our ladies of Lourdes) ภายในมีภาพกระจกสีสวยงามแสดงเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับศาสนา
ต่อด้วย จัตุรัสสหประชาชาติ ซึ่งเป็นใจกลางเมืองย่านธุรกิจสำคัญ
อิสระให้ท่านเดินสำรวจสินค้าหรือเลือกซื้อสินค้าขึ้นชื่ออาทิ
น้ำมันมะกอก อินทผาลัมในซุปเปอร์มาเก็ตก่อนกลับเมืองไทย จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองราบัต
|
20.15
น. |
ออกเดินทางกลับสู่
กรุงอาบูดาบี้ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
โดยสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินที่ EY 616 |
วันที่สิบเอ็ด
: สนามบินสุวรรณภูมิ |
07.10
น. |
เดินทางถึง สนามบินกรุงอาบูดาบี้
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แวะเปลี่ยนเที่ยวบินเพื่อเดินทางต่อกลับกรุงเทพฯ |
10.10
น. |
ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ
โดยสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินที่
EY 404 |
19.50
น. |
ถึง สนามบินสุวรรณภูมิ
โดยสวัสดิภาพ |