(พัก ราบัต 1 คืน, เชฟชาอูน
1 คืน, เฟส 1 คืน, ทะเลทราย 1 คืน, วอซาเซท 1 คืน, มาราเกช 1
คืน, คาซาบลังกา 1 คืน) |
โอเชี่ยนสไมล์
ทัวร์ ขอเสนอโปรแกรมทัวร์โมรอคโค นำเที่ยว ราชอาณาจักรโมรอคโค
ดินแดนที่เชื่อต่อของแอฟริกาตะวันตกกับยุโรป ที่มีวัฒนธรรมโบราณมาอย่างยาวนาน
เต็มไปด้วยลวดลายสีสันที่เรารู้จักกันในนาม กระเบื้องโมเสก
นำท่านเที่ยวชม คาซาบลังกา เมืองแห่งตำนานภาพยนตร์ชื่อดังในอดีต
สัมผัสบรรยากาศเมืองริมขอบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก เมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ชม เมืองเฟส เมืองที่คงเสน่ห์ความเป็นโมร็อกโกไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
การเดินเล่นในเมืองเก่าให้ความรู้สึกเหมือนการย้อนเวลาสู่อดีต
ที่ท่านให้ท่านซึมซับบรรยากาศในเมืองเก่าอย่างแท้จริง ซึ่งไม่มีที่ใดจะเสมอเหมือนได้
ชม เมืองไอท์ เบนฮาดดู (Ait Benhaddou)
เมืองแห่งการถ่ายทำภาพยนต์ มีภาพยนตร์มากกว่า 20 เรื่องที่มาถ่ายทำที่เมืองนี้
ชม เมืองมาราเกช มหัศจรรย์แห่งเมืองโอเอซิสบนลุ่มน้ำเทนซิฟท์
อดีตเมืองหลวงแห่งราชวงศ์ อัลโมราวิด เมืองนี้ถูกกล่าวขานให้เป็น
A City of Drama โดยทีมงานมัคคุเทศก์ที่ชำนาญงาน ที่พักแบบมาตรฐานและบริการอาหารเลิศรสของชาวโมร็อกโก |
บินเข้า-ออก
คาซาบลังก้า โดยสายการบิน Etihad Airways
เส้นทางท่องเที่ยวเป็นวงกลม เที่ยวครบเมืองสวย ชมธรรมชาติอันหลากหลาย
ไม่วนรถไปมา
ชมเมืองเมืองสีขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองหลวงแห่งโมรอคโค
ณ เมืองราบัต
สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งโมรอคโค ที่บ้านเรือนที่ทาทาบด้วยสีฟ้าขาว
เชฟ ชาอูน
ตื่นตากับเมืองเฟส เมืองหลวงเก่าในศ.ต. ที่ 8 ที่ได้ชื่อว่ามีองที่มีตรอกมากที่สุดในโลกถึง
9,400 ตรอก
ชมร่องรอยความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันในอดีต เมืองโรมันโบราณ
โวลูบิลิส
มาราเกช (Marakesh) Pink City หรือ เมืองสีชมพู ที่มีจตุรัสอันเป็นกลิ่นอายอาหรับในสมัยโบราณที่ยังคงอยู่
รับประทานอาหารค่ำพร้อมชมโชว์ ศิลปวัฒนธรรม ของนักรบหลังม้าชาวเบอร์เบอร์
ที่ เชส อาลี แฟนตาเซียโชว์
นั่งรถ 4 WD และ ขี่อูฐชมเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า
ที่เมอร์ซูก้า Merzouga ในทะเลทรายซาฮาร่า
พักโรงแรมมาตรฐาน ระดับ 4-5 ดาว |
ข้อมูลการเตรียมตัวก่อนเดินทาง
|
เวลา : เวลาในประเทศโมรอคโค
ช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง |
ภาษา : ภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่น |
ไฟฟ้า :
220 โวลต์ สามารถเสียบชาร์จอุปกรณ์มือถือ หรือกล้องถ่ายรูปได้ตามปกติ |
น้ำหนักกระเป๋า
: น้ำหนักสัมภาระคนละ
20 กิโลกรัม |
|
|
โปรแกรมการเดินทาง |
ทริปวันที่
2 - 11 มีนาคม 2560 : ราคาท่านละ 69,900.-บาท
(เปิดจองแล้ว) |
ทริปวันที่
23 มีนาคม - 1 เมษายน 2560 : ราคาท่านละ 69,900.-บาท
(เปิดจองแล้ว) |
ทริปวันที่
6 - 15 เมษายน 2560 : ราคาท่านละ 74,900.-บาท
(เปิดจองแล้ว) |
ทริปวันที่
27 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2560 : ราคาท่านละ 69,900.-บาท
(เปิดจองแล้ว) |
ทริปวันที่
18 - 27 พฤษภาคม 2560 : ราคาท่านละ 69,900.-บาท
(เปิดจองแล้ว) |
วันแรก
: สนามบินสุวรรณภูมิ - กรุงอาบูดาบี้ |
17.00
น. พร้อมกันที่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ชั้น 4 ประตู 8 - 9 เคาน์เตอร์เช็คอินแถว Q สายการบิน
Etihad Airways เจ้าหน้าที่บริษัทฯ ให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินท์
20.35 น.
ออกเดินทางสู่ กรุงอาบูดาบี้
(ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สายการบิน Etihad Airways
เที่ยวบินที่ EY 401 (บนเครื่องมีบริการอาหารครับ ใช้เวลาบิน
7 ชั่วโมง)
00.10 น.
ถึง สนามบินกรุงอาบูดาบี้ (ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)
แวะเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อเดินทางต่อไป เมืองคาซาบลังกา
ประเทศโมร็อกโก
|
วันที่สอง
: อาบูดาบี (Abu Dhabi) คาซาบลังก้า (Casablanca) ราบัต
(Rabat) |
02.30
น. ออกเดินทางสู่ เมืองคาซาบลังกา
โดยสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินที่ EY 613 (บนเครื่องมีบริการอาหารครับ
ใช้เวลาบิน 9.10 ชั่วโมง)
07.40 น.
ถึง สนามบินนานาชาติเมืองคาซาบลังก้า
(Casablanca) ประเทศโมรอคโค (เวลาท้องถิ่น ช้ากว่าประเทศไทย
7 ช.ม.) นำท่านผ่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร พบมัคคุเทศก์ท้องถิ่นแล้ว
นำท่านสู่ เมืองคาซาบลังก้า คำว่า
'คาซา' แปลว่า บ้าน และ 'บลังก้า' แปลว่า สีขาว คาซาบลังก้า
เป็นเมืองที่คนทั่วโลกรู้จัก และอาจรู้จักมากกว่าราชอาณาจักรโมรอคโคด้วยซ้ำ
เพราะนอกจากจะเป็นเมืองท่าและเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานระหว่างประเทศแล้วยังถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง
Casablanca (โดยที่ไม่ได้ถ่ายทำในคาซาบลังก้าเลย) เป็นเรื่องราวความรักระหว่างนายทหารอเมริกันและหญิงคนรัก
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คาซาบลังก้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
และปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของโมรอคโคที่มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณเกือบ
5 ล้านคน นำท่านชมเมืองคาซาบลังก้า ผ่านย่านธุรกิจสำคัญ จัตุรัสสหประชาชาติ
ชมวิวทิวทัศน์ของมหาสมุทรแอตแลนติค
นำท่านชมบริเวณภายนอกของ สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่
2 เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองเมกกะ
สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง สามารถจุผู้คนที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาอิสลามได้ร่วม
80,000 คน โดยแยกเป็นภายในสุเหร่า 25,000 คน ภายนอกสุเหร่าอีก
55,000 คน ชมทิวทัศน์รอบๆ สุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค
ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่สวยงามของชาวโมรอคโคที่ชอบมาเดินเล่นหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแล้ว
ผ่านชมย่านบ้านพักตากอากาศริมมหาสมุทรแอตแลนติค ซึ่งเป็นย่านที่เศรษฐีและผู้มีฐานะทางสังคมนิยมมาอยู่กัน
รวมถึงกษัตริย์ซาอุดิอารเบียก็มาสร้างวังพร้อมทั้งมีมัสยิดและหอสมุดส่วนพระองค์
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร หลังอาหารนำท่านออกเดินทางสู่
เมืองราบัต (Rabat) เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมรอคโค
(ระยะทาง 94 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.) จากนั้นนำท่านชมเมืองราบัตเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมรอคโคมาตั้งแต่ปีค.ศ.1956
เมื่อโมรอคโคหลุดพ้นจากการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของฝรั่งเศส
เป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบทูตานุทูตจากต่างแดน
เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม จากนั้นชม สุเหร่าหลวง
และ พระราชวังหลวง ที่ทุกเที่ยงวันศุกร์ กษัตริย์แห่งโมรอคโคจะทรงม้าจากพระราชวังมายังสุเหร่า
เพื่อประกอบศาสนกิจ ชมสุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 พระอัยกาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน
ซึ่งมีทหารยามยืนเฝ้าสง่าทุกประตู และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง
ด้านหน้าของสุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่
12 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง
183x139 เมตร นำท่านชม ป้อมอูดายา (Oudayas
Fortress) ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้น ที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก
ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ เป็นป้อมที่สเปนสร้างขึ้นเมื่อสมัยที่สเปนยึดครองโมรอคโค
ด้านในมีสวนดอกไม้แบบสเปนและเป็นเมดิน่า หรือชุมชนชาวเมืองซึ่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้า-ขาว
ที่สะอาดตาน่าเดินเล่น บรรยากาศริมทะเลคล้ายเมืองซานโตรินี
นับเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่สำคัญของโมรอคโค ในอดีตใช้ป้องกันข้าศึกจากการรุกรานทั้งจากประเทศที่ล่าอาณานิคมและในยุคที่โจรสลัดชุกชุม
จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
เย็น
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม พักค้างคืนในเมืองราบัต โรงแรม Gelden
Tulip Farah ระดับ 5 ดาว
|
วันที่สาม
: ราบัต (Rabat) แทนเจียร์ (Tangier) เชฟชาอูน (Chefchaouen) |
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองแทนเจียร์
(Tangier) เป็นเมืองริมชายฝั่ง และเป็นเมืองท่าที่สำคัญ
ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศโมร็อกโก และอยู่ทางตอนใต้ของ
ช่องแคบยิบรอลตาร์ ปัจจุบันเมืองท่าแห่งนี้ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งของโมร็อกโกอีกด้วย
นอกจากนี้แล้วเมืองแทนเจียร์ยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ไม่น้อยไปกว่าเมืองอื่นๆ
อีกทั้งรอบๆตัวเมืองยังมีความโดดเด่นด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม
รวมไปถึงหาดทรายและผู้คนที่แสนจะเป็นมิตร ชมวิวช่องแคบยิบรอลต้า
ที่คั่นแบ่งระหว่างทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกา ตามตำนานเล่าว่าเป็นเพราะเทพเฮอร์คิวลิส
ที่ต้องการเดินทางผ่านไปยังสุดขอบตะวันตกจึงยกแผ่นหินออกทำให้เกิดช่องแคบยิบรอลต้าขึ้น
จากนั้นนำชม แกรนด์ ซัคโค (Grand Socco)
หรือที่รู้จักกันว่า "บิ๊กสแควร์" จัตุรัสที่รายล้อมไปด้วยเขตเมืองเก่าหรือย่านเมดินา
ซึ่งถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดของเมืองแทนเจียร์
อีกทั้งยังถือว่าเป็นตลาดหลักของเมืองอีกด้วย
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่
นครสีฟ้า เชฟชาอูน (Chefchaouen) เมืองที่ได้ชื่อว่า
มนต์เสน่ห์แห่งโมร็อกโก แม้ว่าโมรอคโคจะเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา
แต่เพราะการที่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติก
จึงทำให้ภูมิอากาศของประเทศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียนคล้ายตอนใต้ของอิตาลีและสเปน
เมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen) เป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ในหุบเขาริฟ
(Rif Mountain หรือ Er-Rif) ประวัติความเป็นมาของเมืองนั้นยาวนานกว่า
538 ปี ในอดีตก่อนที่โมรอคโคจะได้รับเสรีภาพในการปกครองประเทศทั้งหมดในปี
1956 เมืองเชฟชาอูนเคยอยู่ใต้การปกครองของสเปนมาก่อน และจนบัดนี้ประชากรที่มีประมาณ
40,000 คน ก็ยังคงใช้ภาษาสเปนกันอย่างแพร่หลาย เชฟชาอูนอาจจะไม่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่แสวงหาความตื่นเต้นจากกิจกรรมกลางแจ้งหรือชายหาดมากนัก
แต่อากาศบริสุทธิ์และความสะอาดของเมืองได้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆ
ที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้ามาจากการตระเวนเที่ยวที่เมืองอื่นหายเหนื่อยได้
สำหรับท่านที่ชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโค ไม่ควรพลาดเมืองเล็ก
ๆ ที่บ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้าและสีขาว แห่งนี้ทีเดียว สาเหตุที่เมืองเชฟชาอูนถือว่าเป็นสวรรค์ของคนรักสีฟ้าและสีขาว
โดยเฉพาะสีฟ้า นั่นก็เพราะว่าเชฟชาอูนเป็นเมืองที่บ้านเรือนเกือบทุกหลังเป็นสีขาว
และมีครึ่งล่างไปจนถึงบริเวณถนน บันได และทางเดิน เป็นสีฟ้าสดใสเหมือนวันที่ท้องฟ้าไร้เมฆ
เย็น
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม พักค้างคืนในนครสีฟ้าเชพชาอูน โรงแรม
Dar Chefchaouen ระดับ 4 ดาว
|
วันที่สี่
: เชฟชาอูน (Chefchaouen) โวลูบิลิส (Volubilis) เมคเนส
(Meknes) เฟส (Fes) |
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม หลังอาหารนำท่านออกเดินทางสู่ เมืองเมคเนส
(Meknes) (ระยะทาง 195 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.30
ชม.) แวะชม เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส
(Roman city of Volubilis) ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี
ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต
อดีตเมืองโบราณแห่งจักรวรรดิโรมันแห่งนี้มีความสำคัญยิ่งในยุคศตวรรษที่
3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 เมืองโรมันโบราณแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี
ค.ศ.1997 ผ่านชม เมืองมูเล่ ไอดริส
(Moulay Idriss) เมืองโรมันโบราณเมืองหนึ่งที่เป็นเมืองศูนย์กลางทางศาสนาอันศักดิ์สิทธิของชาวมุสลิมในโมรอคโค
ทุกๆปี ช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน จะมีเหล่านักจาริกแสวงบุญมาเยือนเมืองแห่งนี้เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาเปรียบได้กับเมืองเมกกะของประเทศซาอุดิอารเบีย
นำท่านชม เมืองเมคเนส (Meknes) หนึ่งในเมืองมรดกโลกรับรองโดยยูเนสโกเมื่อปี
ค.ศ.1996 อดีตเมืองหลวงในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิล (Mouley
Ismail) แห่งราชวงศ์อะลาวิท (Alawite Dynasty) ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามในช่วงศตวรรษที่
17 ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง เมกเนสจึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก
ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ มีกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ
40 กม. ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู แวะชม ประตูบับมันซู
(Bab Mansour Monumental Gate) เป็นประตูที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด
ตกแต่งด้วยโมเสคและกระเบื้องสีเขียวสดบนผนังสีแสด
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่
เมืองเฟส (Fes) (ระยะทาง 82
กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชม.) เมืองหลวงเก่าในศ.ต. ที่ 8
ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นเมืองสำคัญทางด้านศาสนาตั้งแต่ยุค
ศต. ที่ 8 เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโมรอคโค นำท่านถ่ายรูปที่จุดชมวิวบนป้อมปราการแห่งราชวงศ์ซาเดียน
ต่อด้วยชม ประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟส
(The Royal Palace) ประตูทางเข้าพระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างาม
เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมร็อคโค บริเวณใกล้เคียงพระราชวังเคยเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวยิวที่ทำรายได้ให้แก่ราชวงศ์
เพราะชาวยิวฉลาดทำการค้าเก่ง เป็นพ่อค้าผูกขาดการค้าเกลือ
แต่ปัจจุบันชาวยิวส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับไปอยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญา(ประเทศอิสราเอล)
คงเหลือประชากรชาวยิวอยู่ไม่มากนัก จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่เขาวงกตอันซับซ้อนแห่ง
เมดินาเมืองเฟส ผ่านประตู Bab
Bou Jeloud ที่สร้างตั้งแต่ปี 1913 ที่ใช้โมเสดสีฟ้าตกแต่ง
เดินผ่านเข้าไปในเขตเมดิน่าแล้วเหมือนข้ามกาลเวลาย้อนสู่อดีต
นำท่านเดินผ่านตลาดสดขายข้าวปลาอาหาร และผัก ผลไม้สดต่างๆนาๆ
ชม เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (Merdersa Bou Imania) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์
เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงามประณีต ในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น
100 ส่วน มีซอยกว่า 94,000 ซอย มีซอยแคบสุดคือ 50 ซ.ม. ถึงกว้าง
3 เมตร จะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง
ทองแดง จะมีร้านค้าเล็กๆที่หน้าร้านจะมีหม้อ กะทะ อุปกรณ์เครื่องครัว
วางแขวนห้อยเต็มไปหมด ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม
ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ และย่านเครื่องเทศ (Souk
El Attarine) ท่านจะได้สัมผัสทั้งรูป รสและกลิ่นในย่านเครื่องเทศที่มีการจัดเรียงสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม
ระหว่างที่เดินตามทางในเมดิน่าท่านจะได้พบกับน้ำพุธรรมชาติ(Nejjarine
Fountain) เพื่อให้ชาวมุสลิมให้ล้างหน้าล้างมือก่อนเข้าในบริเวณมัสยิด
นอกจากนี้ที่ตามซอกมุมอาจเห็นภาพชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลักไม้ชิ้นเล็กๆอยู่บริเวณตามทางเดินแคบๆในเขตเมืองเก่า
บางทีเราก็ยังจะเห็นผู้หญิงที่นี่สวมเสื้อผ้าที่ปิดตั้งแต่หัวจนถึงเท้าจะเห็นได้ก็เฉพาะตาดำอันคมกริบเท่านั้น
แวะชม สุสานของกษัตริย์ มูเล ไอดริสที่
2 (Moulay Idriss Mausolem II) ที่ชาวโมรอคโคถือว่าเป็นแหล่งมาแสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์
โดยชายชาวมุสลิมจะมาขอพรก่อนการเข้าสุหนัตและหญิงสาวชาวมุสลิมมักจะมาขอพรเพื่อให้ได้บุตร
ชม สุเหร่าใหญ่ไคเราวีน (Kairaouine
Mosque) ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมรอคโคและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
(เฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น) ชม ย่านเครื่องหนังและบ่อฟอกย้อมสีหนังแบบโบราณประจำเมืองเฟส
(Chouara Tannery) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส
ถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก้ เมืองเฟส จึงเป็นสถานที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอย่างยิ่ง
เย็น
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม พักค้างคืนในเฟสโรงแรม Pick Albatros
Hotel ระดับ 4 ดาว
|
หมายเหตุ คืนนี้กรุณาจัดเตรียมเสื้อผ้าและของใช้จำเป็น
ใส่กระเป๋าเล็ก เพื่อใช้ในการค้างแรมในทะเลทรายซาฮาร่า ในคืนพรุ่งนี้ |
วันที่ห้า
: เฟซ (Fes) - อิเฟรน (Ifrane) เอร์ฟูด์ (Erfoud)-มอร์ซูก้า
(Merzouga) |
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่
เมืองอิเฟรน (Ifrane) (ระยะทาง
70 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.20 ชม.) อิเฟรน เป็นเมืองพักตากอากาศบนความสูงกว่า
1,650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างเมืองขึ้นบริเวณนี้
เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน บ้างก็เรียกเมืองอิเฟรนว่า
เจนีวาแห่งโมรอคโค หรือ สวิตเซอร์แลนด์แห่งโมรอคโค บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง
มีดอกไม้ และทะเลสาบสวยงาม นำท่านเดินเล่นภายในเมืองและเก็บภาพบรรายากาศอันสวยงามอีกแห่งของโมรอคโค
ถ่ายรูปกับอนุสรณ์สิงห์โตหิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนสิงห์โตตัว
สุดท้ายที่ถูกล่าจนหมดไปจากเทือกเขาแห่งนี้ จากนั้นนำท่านเดินทางต่อสู่
เมืองมิเดลท์ (Midelt)
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่
เมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga)
เมืองในทะเลทรายซาฮาร่า (ระยะทาง 268 กม). ใช้เวลาเดินทางประมาณ
3.30 ชม.) ผ่านเมือง เออราชิดิยา (Errachidia) เมืองที่มีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์
ซึ่งมีระยะทางห่างจากพรมแดนระหว่างโมรอคโค และ แอลจีเรีย เพียง
25 กิโลเมตร เดินทางสู่ เมืองเอร์ฟูด์
(Erfoud) เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางกองคาราวานพ่อค้าที่เดินทางมาจากทางตะวันออกกลางอย่างซาอุดิอารเบียและซูดานในแอฟริกา
นำท่านพร้อมสัมภาระ(ใบเล็ก) เดินทางโดยรถ 4x4 เข้าสู่ ทะลทรายซาฮารา
เมอร์ซูก้า (Merzouga) (ระยะทาง54 ก.ม. ใช้เวลา 45
นาที) ผ่านภูเขาหิน ที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิล ของหอย และ แมงกะพรุนโบราณ
ในอดีต เมื่อประมาณ 350 ล้านปีก่อน ดินแดนแห่งนี้เคยอยู่ใต้ท้องทะเลต่อมาเมื่อแผ่นดินผุดขึ้นมา
จึงเกิดซากฟอสซิลขึ้นมากมาย
ค่ำ บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
พักผ่อนนอนดูดาวตามอัธยาศัย พักผ่อนค้างคืนในทะเลทรายซาฮาร่า
เมอร์ชูก้า TOMBOUCTOU HOTEL
|
วันที่หก
: มอร์ซูก้า (Merzouga) - ทินเฮียร์ (Tinerhir) ทอดร้ากอร์จ
(Todra Gorge) - วอซาเซท (Vauzazate) |
05.00
น. ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น นำท่านขี่อูฐชมเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินทรายในทะเลทรายซาฮาร่า
ทะเลทรายซาฮาร่า (SAHARA DESERT) เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ
มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ)
และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์
สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์
หากมีสัตว์และพืชพันธุ์ใดที่สามารถเติบโตในทะเลทรายได้ ก็ต้องปรับตัวกันอย่างมาก
เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหาวิธีในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้
ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าในทะเลทรายซาฮาร่า จากสภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทรายมีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทราย
เกือบเป็นศูนย์ตลอดปี ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเนินทราย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงาม
น่าประทับใจ ได้เวลานำท่านขี่อูฐกลับสู่โรงแรมที่พัก
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม หลังอาหารนำคณะนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
4x4 ออกจากทะเลทรายซาฮาร่า มุ่งหน้าสู่ เมืองเอร์ฟูด์
(Erfoud) เพื่อเปลี่ยนเป็นรถโค้ชเดินทางสู่เมืองทินเฮียร์
แวะชม โอเอซิส Tinerhir ซึ่งเป็นชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน
ท่ามกลางความแห้งแล้งในเขตทะเลทราย ที่ยังมีความชุ่มชื้น มีตาน้ำ
หรือ ลำธารน้ำ ซึ่งใช้ในการปลูก ต้นปาล์ม ต้นอัลมอนด์ โอเอซิสแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากวอซาเซท
ผ่านหุบเขาเดดส์ (Dades) ซึ่งเป็นแนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม
ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆ สวยงาม จากนั้นเดินทางสู่
ทอดร้ากอร์จ (Todra Gorge) โกรกธารที่มีโขดผาสูง
985 ฟุต หรือ 300 เมตร ทั้งสองด้านที่เกือบตั้งทำมุมสามเหลี่ยมกับแม่น้ำโทดร้า
ถือว่าเป็นโกรกธารและหุบเขาที่สวยที่สุดทางใต้ของโมรอคโค ชมความงดงามของช่องเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในโอเอซิส
โดยมี ลำน้ำใส ๆ ที่ไหลผ่านช่องเขากับหน้าผาสูงชันแปลกตา สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งปีนหน้าผาสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการเสี่ยงภัย
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่
เมืองวอซาเซท (Ouarzazate) เคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์
ในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร
วอซาเซทเป็นเมืองที่ถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวแวดล้อมไปด้วยสตูดิโอภาพยนตร์
และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อการทำกิจกรรมต่างๆ เช่นการขี่มอเตอร์ไซด์
อูฐ กิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย (สำหรับในฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ
(พ.ย. เม.ย.)) ควรเตรียมเสื้อกันหนาวให้เพียงพอ เพราะเมืองนี้อยู่ใกล้ภูเขา
แอตลาส ที่มีหิมะปกคลุมในช่วงดังกล่าว วอซาเซท อาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความแตกต่าง
และความผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ไหน วอซาเซทเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของทางตอนใต้
และที่นี่ยังเป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันตก
สำหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ชอบรสชาติของความเป็นทางใต้ ณ
แห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสำรวจเมืองต่างๆได้ทุกวัน
ค่ำ
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม พักค้างคืนในวอซาเซทโรงแรม Karam
Palace ระดับ 4 ดาว
|
วันที่เจ็ด
: วอซาเซท (Vauzazate) มาราเกช (Marakech) - โชว์Fantasia |
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม หลังอาหารนำชม ป้อมทาอูเริท
(Kasbah Taourirt) พระราชวังของผู้ปกครองมาราเกซ ตระกูลกลาวี
(Glaoui Palace) เป็นป้อมดิน หรือ วังที่สร้างจากดิน ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องหับต่างๆจำนวนมากรวมถึงฮาเร็มและที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยทางเล็กๆอยู่ภายใน ในห้องต่าง ๆ ยังมีลวดลายผนังอาคารและรูปแบบสถาปัตยกรรมอันหลากหลายของการสร้างอาคารของชาวเบอร์เบอร์
การออกแบบอาคารซึ่งเหมาะกับความเชื่อและความเป็นอยู่ของเหล่าเจ้าผู้ปกครอง
ในป้อมทาอูเริทนี้ในอดีตมีคนงานและคนรับใช้จำนวนหลายร้อยคนจึงต้องมีห้องเป็นจำนวนมาก
มีทั้งส่วนที่เป็นวังเก่า ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง บางห้องก็ว่างเปล่า
ยูเนสโก้ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาจากอาคารเดิมเพียง 1 ใน 3 ของอาคารทั้งหมด
จากนั้นเดินทางสู่ เมืองไอท์ เบนฮาดดู
(Ait Benhaddou) ชมเมืองไอท์ เบนฮาดดู เป็นเมืองที่อาคารต่างๆ
สร้างจากดิน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า
20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมดินที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของโมรอคโค
คือ ป้อมไอท์ เบนฮาดดู (Kasbash of
Ait Ben Hadou) เป็นป้อมดินซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์
เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนต์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ
Lawrance of Arabia , Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก้
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร หลังอาหารออกเดินทางสู่ เมืองมาราเกช
(Marakesh) ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส
ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค
ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ ที่นำสินค้าจากทางตอนใต้
ไปขายยังยุโรป และ นำสินค้าจากทางเหนือผ่านเทือกเขาไฮแลตลาสไปยังทะเลทรายซาฮาร่าไปยังตอนใต้
นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงหลายราชวงส์ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์อัลโมราวิด
ช่วงศ.ต.ที่ 11 ราชวงศ์อัลโมฮัด และ ราชวงศ์ซาเตียน ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด
สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ
ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink
City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง
จึงได้สมญานามว่าเป็น A city of Drama
นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้
นำท่านเยือน จัตุรัสกลางเมือง Djemaa
Fnaa Square ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า
ตลาด ทั้ง 4 ด้าน เดินเล่นถ่ายรูปความมีชีวิตชีวา ที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้
พร้อมจับจ่ายหาซื้อของฝาก ของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ ได้ที่
ตลาดเก่า (Old Market) ที่อยู่รายรอบจัตุรัสอย่างเพลิดเพลิน
ค่ำ บริการอาหารเย็นที่ Fantasia
ท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของสถานที่และสีสันของชาวโมรอคกันเบอร์เบอร์ที่ต้อนรับท่านด้วยอาหารและพร้อมชม
การแสดงพื้นเมือง โชว์โมรอคโค
พักค้างคืนในมาราเกชโรงแรม Les Jardins de l'Agdal Hotel ระดับ
5 ดาว
|
วันที่แปด
: สวนจาร์ดีน มาจอแรล - มัสยิด คูตูเบีย - พระราชวังบาเฮีย
- คาซาบลังก้า |
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม หลังอาหารนำท่านไปชม สวนจาร์ดีน
มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือ สวนยิปแซงลอเร้นซ์
(Yves Saint Laurent Gardens) ชื่อนี้เป็นที่คุ้นเคยของสาวๆ
ที่ชื่นชอบแฟชั่นสุดหรูของ Yves St. Laurent นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์แห่งปารีส
ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสวนแห่งนี้ ในช่วงที่โมรอคโคตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส
ยิปแซงลอเร้นซ์มาที่ประเทศโมรอคโค เพื่อพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดจากงานออกแบบแฟชั่นโชว์
บ้านหลังนี้เคยเป็นของเศรษฐีแห่งมาราเกช หลังจากยิปแซงมาเยือนมาราเกช
ก็ได้เกิดความหลงใหลในเมืองแห่งนี้ และซื้อบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่พักผ่อน
ชมสวนที่ถูกออกแบบโดยใช้ที่สดใส ฉูดฉาด เช่นสีน้ำเงิน และสีส้ม
เป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเสา แจกัน และชมการจัดวางพรรณไม้อันหลากหลายแห่งทะเลทราย
ที่จัดได้อย่างสวยงามและลงตัว นำท่านชม มัสยิด
คูตูเบีย (Koutoubia Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่เก่าแก่ที่สุดในเมือง
ไม่ว่าจะเดินไปแห่งใดในตัวเมืองก็จะเห็นมัสยิดนี้ได้ จากนั้นเดินทางไปชม
สวนเมนารา (Menara Garden) ซึ่งแต่เดิมสร้างเป็นบ่อเก็บน้ำจากเทือกเขาแอตลาส
ใช้เป็นที่ฝึกกองกำลังทหารในการสู้รบทางน้ำ และใช้เป็นที่ส่งน้ำไปสู่สวนต่างๆ
ในสวนเมนารา แห่งนี้รายล้อมด้วยต้นมะกอกและต้นสน มีตัวอาคารที่งดงามโดยมีเทือกเขาแอตลาสเป็นฉากหลัง
สวนแห่งนี้เป็นสวนต้นแบบที่ราชวงศ์โมรอคโคนิยมกันในเวลาต่อมา
นำท่านชม พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace)
เป็นพระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต
สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa สถาปัตยกรรมออกเป็นแนวสมัยใหม่
โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น
สร้างขึ้นและตั้งชื่อวังตามชื่อของภรรยาคือ นางบาเฮีย ซี่งมีรูปโฉมที่งดงาม
เป็นที่รักใคร่ยิ่งของท่านมหาอำมาตย์ พระราชวังแห่งนี้มีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น
(Stucco) บนเพดานและบานประตูมีการวาดลายโดยใช้สีธรรมชาติบนไม้สนซีดาร์
และผนังประดับประดาด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงามละเอียดอ่อนมาก
ชมสวนในบ้านซึ่งเป็นสไตล์ริยาด (Riad) ประกอบไปด้วยลานกลางบ้าน
ซึ่งประดับด้วยน้ำพุ และสวนไม้ดอก ไม้ประดับ ตามสไตล์การแต่งบ้านแบบโมรอคโม
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร หลังอาหารเดินทางสู่ เมืองคาซาบลังก้า
(ระยะทาง 237 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม.) ถึง คาซาบลังก้า
นำท่านนั่งรถชมบรรยากาศ ริมมหาสมุทรแอตแลนติคยามค่ำคืน ต่อด้วยการช้อปปิ้งที่
ห้าง Morocco Mall เป็นห้างที่บรรดาไฮโซและเศรษฐี
ในคาซาบลังก้า นิยมมาจับจ่าย ซื้อสินค้าแบรนด์ดัง
เย็น บริการอาหารเย็นที่โรงแรม หลังอาหารพักผ่อนกันตามอัธยาศัย
พักโรงแรม Kenzi Tower Hotel ระดับ 5 ดาว
|
วันที่เก้า
: คาซาบลังก้า - กรุงอาบูดาบี้ - กรุงเทพฯ |
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม หลังอาหารออกเดินทางสู่ สนามบินเมืองคาซาบลังก้า
10.35 น.
ออกเดินทางกลับสู่ กรุงอาบูดาบี้ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
โดยสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินที่ EY 612
22.10 น.
เดินทางถึง สนามบินกรุงอาบูดาบี้
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แวะเปลี่ยนเที่ยวบินเพื่อเดินทางต่อกลับกรุงเทพฯ
23.50 น.
ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบิน Etihad
Airways เที่ยวบินที่ EY 406
|
วันที่สิบ
: สนามบินสุวรรณภูมิ |
09.05
น. ถึง สนามบินสุวรรณภูมิ
โดยสวัสดิภาพ
|