โอเชี่ยนสไมล์
ทัวร์ ขอเสนอโปรแกรมทัวร์โมรอคโค นำเที่ยว ราชอาณาจักรโมรอคโค
ดินแดนที่เชื่อต่อของแอฟริกาตะวันตกกับยุโรป ที่มีวัฒนธรรมโบราณมาอย่างยาวนาน
เต็มไปด้วยลวดลายสีสันที่เรารู้จักกันในนาม กระเบื้องโมเสก
นำท่านเที่ยวชม คาซาบลังกา เมืองแห่งตำนานภาพยนตร์ชื่อดังในอดีต
สัมผัสบรรยากาศเมืองริมขอบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก เมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ชม เมืองเฟส เมืองที่คงเสน่ห์ความเป็นโมร็อกโกไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
การเดินเล่นในเมืองเก่าให้ความรู้สึกเหมือนการย้อนเวลาสู่อดีต
ที่ท่านให้ท่านซึมซับบรรยากาศในเมืองเก่าอย่างแท้จริง ซึ่งไม่มีที่ใดจะเสมอเหมือนได้
ชม เมืองไอท์ เบนฮาดดู (Ait Benhaddou)
เมืองแห่งการถ่ายทำภาพยนต์ มีภาพยนตร์มากกว่า 20 เรื่องที่มาถ่ายทำที่เมืองนี้
ชม เมืองมาราเกช มหัศจรรย์แห่งเมืองโอเอซิสบนลุ่มน้ำเทนซิฟท์
อดีตเมืองหลวงแห่งราชวงศ์ อัลโมราวิด เมืองนี้ถูกกล่าวขานให้เป็น
A City of Drama ชม เมืองเอลจาดีดา
เมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนอ่าวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค โดยทีมงานมัคคุเทศก์ที่ชำนาญงาน
ที่พักแบบมาตรฐานและบริการอาหารเลิศรสของชาวโมร็อกโก |
บินเข้าเมืองคาซาบลังก้า - บินออกกเมืองราบัติ โดยสายการบิน
Etihad Airways
สัมผัสบรรยากาศเมืองริมขอบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก คาซาบลังก้า
เมืองแห่งตำนานภาพยนตร์ชื่อดังในอดีต
เยือนสุดยอดมนต์เสน่ห์ สุดแสนโรแมนติก ที่ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิตที่
เชฟ เชาเอิน
ชม เมืองเอลจาดีด้า เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนอ่าวชายฝั่งทะเลแอตแลนติค
เยี่ยมเมือง มาราเกช เมืองโอเอซิสบนลุ่มน้ำเทนซิฟท์ อดีตเมืองหลวงแห่งราชวงศ์อัลโมราวิด
เปิดประตูสู่ทะเลทรายซาฮาร่า ที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวแบบผจญภัยท่ามกลางทะเลทราย
ขี่อูฐและนอนดูดาวท่ามกลางทะเลทรายซาฮาร่า ที่เมอร์ซูก้า
เยือนอดีตเมืองหลวงเก่าแห่ง เฟส เมืองที่คงเสน่ห์ความเป็นโมรอคโคไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
ชมเมืองเก่ายุคโรมัน ที่โวลูบิลิสและเมืองตากอากาศอิเฟรน
สัมผัสมชื่นชมกับทิวทัศน์อันแสนโรแมนติก ของชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกที่
เอซาเวร่า
|
ข้อมูลการเตรียมตัวก่อนเดินทาง
|
เวลา : เวลาในประเทศโมรอคโค
ช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง |
ภาษา : ภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่น |
ไฟฟ้า :
220 โวลต์ สามารถเสียบชาร์จอุปกรณ์มือถือ หรือกล้องถ่ายรูปได้ตามปกติ |
น้ำหนักกระเป๋า
: น้ำหนักสัมภาระคนละ
20 กิโลกรัม |
|
|
โปรแกรมการเดินทาง |
ทริปวันที่ 30 พฤศจิกายน 10 ธันวาคม 2559 : ราคาท่านละ 82,900.-บาท
(เปิดจองแล้ว) |
วันแรก
: สนามบินสุวรรณภูมิ - กรุงอาบูดาบี้ |
17.00
น. |
พร้อมกันที่
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชั้น
4 ประตู 8 - 9 เคาน์เตอร์เช็คอินแถว Q สายการบิน
Etihad Airways เจ้าหน้าที่บริษัทฯ ให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินท์ |
20.35
น. |
ออกเดินทางสู่ กรุงอาบูดาบี้
(ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สายการบิน Etihad Airways
เที่ยวบินที่ EY 401 (บนเครื่องมีบริการอาหารครับ ใช้เวลาบิน
7 ชั่วโมง) |
00.10
น. |
ถึง สนามบินกรุงอาบูดาบี้
(ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) แวะเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อเดินทางต่อไป
เมืองคาซาบลังกา ประเทศโมร็อกโก |
วันที่สอง
: อาบูดาบี (Abu Dhabi) คาซาบลังก้า (Casablanca) เชฟ
เชาเอิน (Chefchaouen) |
02.30
น. |
ออกเดินทางสู่ เมืองคาซาบลังกา
โดยสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินที่ EY 613 (บนเครื่องมีบริการอาหารครับ
ใช้เวลาบิน 9.10 ชั่วโมง) |
08.35
น. |
ถึง สนามบินนานาชาติเมืองคาซาบลังก้า
(Casablanca) ประเทศโมรอคโค (เวลาท้องถิ่น ช้ากว่าประเทศไทย
7 ช.ม.) นำท่านผ่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร พบมัคคุเทศก์ท้องถิ่นแล้ว
นำท่านเดินทางสู่ เมืองเชฟเชาเอิน (Chefchaouen)
ระยะทาง 333 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.50 ชม. เมืองนี้ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอีกแห่งและยังเป็นเมืองที่มีชายแดนติดกับสเปนด้วย
ด้วยความที่รูปร่างลักษณะของยอดเขาของที่นี่เหมือนกับเขาแพะ
(Chaoua) ดังนั้นชื่อเมือง Chefchaouen จึงมีความหมายที่ตรงตัวเลยว่า
มองที่เขาแพะนั่นซิ ด้วยลักษณะเมืองที่อยู่บนภูเขา จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มานี่ต่างได้ลิ้มรสของความเงียบสงบ
บรรยากาศโรแมนติก |
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านเที่ยวชม เมดิน่า ของเมืองเชฟเชาเอิน
ที่บ้านเรือนตกแต่งด้วยอาคารสีฟ้า ช้อปปิ้ง Plaza
Uta El-Hamman ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าและคาเฟ่ในบรรยากาศยามเย็น
ที่นี่ยังมีชื่อเสียงทางด้านช้อปปิ้งอีกด้วยที่มีทั้งสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านที่หาไม่ได้จากไหนในโมรอคโค
เช่น เสื้อผ้าขนสัตว์ รวมทั้งชีสที่ทำจากแพะ |
ค่ำ |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
พักผ่อนค้างคืนในเมืองเชฟ เชาเอิน ATLAS ระดับ 5 ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่สาม
: เชฟ เชาเอิน - เมคเนส (Meknes) - เมืองโรมันโวลูบิลิส -
เฟซ (Fes) |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมคเนส (Meknes)
ระยะทาง 210 กม. ใช้เวลาเดินทาง 3.30 ชม. เป็นเมืองหลวงโบราณในสมัยสุลต่านมูเล
อิสมาอิล (Mouley Ismail) แห่งราชวงศ์อะลาวิท (Alawite Dynasty)
กษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามใน ศ.ต. ที่ 17 ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง
เมกเนสจึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ
นำท่านชมกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม. ซึ่งเดิมเคยมีประตูเมืองใหญ่โตถึง
14 ประตู ชม ประตูบับมันซู (Bab Mansour
Monumental Gate) ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด ตกแต่งด้วยโมเสดและกระเบื้องสีเขียวบนผนังสีแสด |
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านออกเดินทางต่ออีก 80 กิโลเมตร แวะชม เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส
(Roman city of Volubilis) ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี
ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต
จากวิหารเทพเจ้าของเมืองโบราณโวลูบิลิสท่านสามารถมองเห็นเมืองมูเลไอดริส
(Moulay Idriss) เมืองศูนย์กลางศาสนาอันศักดิ์สิทธิของชาวมุสลิมในโมรอคโค
ทุกๆปี ช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน จะมีเหล่านักจาริกแสวงบุญมาเยือนเมืองแห่งนี้เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา
เปรียบได้กับเมืองเมกกะของประเทศซาอุดิอารเบีย
นำท่านเดินทางต่อไปยัง เมืองเฟซ (Fes)
เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่บนพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่ต่อจากเชิงเทือกเขารีฟ
(Rif Mountain) ทางตอนเหนือกับเขตเทือกเขาแอตลาสตอนกลาง (Middle
Atlas) มีแม่น้ำเฟส (River Fes) ไหลผ่านกลางเมือง ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ(เมษายน-พฤษภาคม)
จะเห็นดอกไม้ป่าสีสันสดใสขึ้นตลอดข้างทาง และที่นี่เป็นเมืองที่ยังคงมีบรรยากาศของเมืองโบราณที่ผู้คนยังใช้ลาเป็นพาหนะและบรรทุกของกันอยู่
ท่านจะได้สัมผัสบรรยากาศเมืองเก่าแก่ที่สุดในบรรดาเมืองหลวงเก่าทั้งสี่แห่ง
แต่สิ่งที่สำคัญของเมืองเฟสคือในปี ค.ศ.1981 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เขตเมืองเก่าของเฟสเป็นเมืองมรดกโลกทางประวัติศาสตร์ |
ค่ำ |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
พักผ่อนค้างคืนในเมืองเฟซ HOTEL BARCELO,FES ระดับ4ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่สี่
: เฟซ (Fes) - เมดิน่าแห่งเฟส |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านชม เมืองเฟซ (Fes)
เมืองหลวงเก่าในศ.ต. ที่ 8 ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
เป็นเมืองแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโมรอคโค เริ่มด้วยจุดชมวิวบนป้อมปราการแห่งราชวงศ์ซาเดียน
ต่อด้วยชมประตูพระราชวังแห่งเฟซ (The Royal Palace) ประตูทางเข้าพระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างามเป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมรอคโค
บริเวณใกล้เคียงพระราชวังเคยเป็นชุมชนชาวยิวที่ทำรายได้ให้แก่ราชวงศ์
เพราะชาวยิวฉลาดทำการค้าเก่งแต่ปัจจุบันชาวยิวส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับไปอยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญา
(ประเทศอิสราเอล) คงเหลือชาวยิวอยู่ไม่มากนัก ชมชุมชนชาวยิว
(The Synagouge) ที่มาอาศัยอยู่ตั้งแต่ในสมัยศ.ต.ที่ 7 ซึ่งกระจายอยู่ทุกเมืองในอดีต
ชาวยิวเป็นชนชาติที่ขยัน ฉลาด ส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นพ่อค้า จึงทำให้สุลต่านและกษัตริย์ในอดีตนำชาวยิวมาเป็นบริวารอยู่โดยรอบวัง
เพื่อการเก็บภาษีจากการค้าได้ง่ายขึ้น
จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่เขาวงกตอันซับซ้อนแห่ง เมดินาเมืองเฟซ
ผ่านประตู Bab Bou Jeloud ที่สร้างตั้งแต่ปี
1913 ที่ใช้โมเสดสีฟ้าตกแต่ง เดินผ่านเข้าไปในเขตเมดิน่าแล้วเหมือนข้ามกาลเวลาย้อนสู่อดีต
นำท่านเดินผ่านตลาดสดขายข้างปลาอาหาร และผัก ผลไม้สดต่างๆนาๆ
ชม เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (Merdersa Bou Imania) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์
เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงามประณีต ในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น
100 ส่วน มีซอยกว่า 10,000 ซอย มีซอยแคบสุดคือ 50 ซ.ม. ถึงกว้าง
3 เมตร จะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง
ทองแดง จะมีร้านค้าเล็กๆที่หน้าร้านจะมีหม้อ กระทะ อุปกรณ์เครื่องครัว
วางแขวนห้อยเต็มไปหมด ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม
ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ และย่านเครื่องเทศ (Souk
El Attarine) ระหว่างที่เดินตามทางในเมดิน่าท่านจะได้พบกับน้ำพุธรรมชาติ
(Nejjarine Fountain) เพื่อให้ชาวมุสลิมให้ล้างหน้าล้างมือก่อนเข้าในบริเวณมัสยิด
นอกจากนี้ที่ตามซอกมุมอาจเห็นภาพชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลักไม้ชิ้นเล็กๆอยู่บริเวณตามทางเดินแคบๆในเขตเมืองเก่า
บางทีเราก็ยังจะเห็นผู้หญิงที่นี่สวมเสื้อผ้าที่ปิดตั้งแต่หัวจนถึงเท้าจะเห็นได้ก็เฉพาะตาดำอันคมกริบเท่านั้น
|
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านชม สุสานของมูเล ไอดริสที่
2 (Moulay Idriss Mausolem II) ที่ชาวโมรอคโคถือว่าเป็นแหล่งมาแสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์
ผ่านชม สุเหร่าใหญ่ไคเราวีน (Kairaouine Mosque) ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมรอคโคและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
(เข้าด้านในได้เฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น) จากนั้นนำท่านเดินชม
ย่านเครื่องหนัง บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณ
ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก้
ทั้งหมดนี้เป็นเสน่ห์ของการเดินเที่ยวชมเมืองที่ต้องเดินแหวกว่ายเข้าไปในกลุ่มคนชาวพื้นเมือง
ช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่น เมืองเฟซจึงเป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเมื่อท่านเดินผ่านประตูเข้าไปจะพบตรอกซอยเล็กๆ มากมาย
วกวน ซับซ้อน ซึ่งยุคอิสลามเก่าแก่ถนนเมืองหลวงหลายๆ เมืองจะมีความเหมือนกันคือความวกวน
ซับซ้อน เหมือนเขาวงกต ไม่แปลกที่หลายคนจะไปหลงอยู่ในตรอกซอยได้
ท่ามกลางบรรยากาศตลาดที่มีชีวิตชีวาและผู้คนมากมาย |
ค่ำ |
บริการอาหารเย็นที่ภัตตาคาร
พักผ่อนค้างคืนในเมืองเฟซ HOTEL BARCELO, FES ระดับ 4 ดาว
หรือเทียบเท่า
|
หมายเหตุ คืนนี้กรุณาจัดเตรียมเสื้อผ้าและของใช้จำเป็น
ใส่กระเป๋าเล็ก เพื่อใช้ในการค้างแรมในทะเลทรายซาฮาร่า ในคืนพรุ่งนี้ |
วันที่ห้า
: เฟซ (Fes) - อิเฟรน (Ifrane) เออร์ฟูย์ด (Erfoud) เมอร์ซูก้า
(Merzouga) |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านออกเดินทางสู่ เขตทะเลทรายซาฮาร่า
ระหว่างทางผ่าน เมืองอิเฟรน (Ifrane)
ซึ่งห่างจากเฟซ ลงทางใต้ประมาณ 60 กม. เป็นเมืองที่ความสูงประมาณ
1,650 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เป็นที่พักตากอากาศซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างขึ้นบริเวณนี้
ในช่วง ค.ศ. 1930 บางครั้งเรียกเมืองแห่งนี้ว่า เจนีวาแห่งโมรอคโค
บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้บานและทะเลสาบสวยงาม เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน
เส้นทางนี้ผ่านเทือกเขาแอตลาส ชื่อที่คุ้นเคยกันมานาน เดินทางข้าม
Middle Atlas ภูมิประเทศเขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้ สองข้างทางเปลี่ยนสภาพจากความแห้งแล้วเป็นป่าไม้
พุ่ม และสลับกับความแห้งแล้งของภูเขา |
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านออกเดินทางสู่ เออร์ฟูย์ด
(Erfoud) ซึ่งเป็นโอเอซิสศูนย์กลางการค้าขายของคาราวานซึ่งเดินทางมาจากซาอุดิอาระเบีย
และซูดาน ระหว่างทางจะผ่านโอเอซิส การทำระบบชลประทานใต้ดิน
(ใครที่เคยเที่ยวเส้นทางสายไหมในจีนมาแล้วคงพอจะนึกออก) ก่อนเข้าที่พักแวะชม
ฟอสซิลเวิร์ด และนำท่านเดินทางสู่ เมืองเมอร์ซูก้าร์
โดยท่านจะนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4 WD ไปท่องทะเลทรายซาฮาร่า
เป็นทะเลทรายในทวีปแอฟริกาที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
(รองจากทะเลทรายในทวีปแอนตาร์กติกา) และเป็นทะเลทรายร้อนที่ใหญ่ที่สุดของโลก
ลัดเลาะขอบทะเลทรายสู่เขตซาฮาร่า เข้าสู่ที่พักโรงแรมกลางทะเลทรายซาฮาร่า
AUBERGE DU SUD MERZOUGA หรือเทียบเท่า
|
ค่ำ |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
พักค้างคืนในโรงแรมกลางทะเลทราย AUBERGE DU SUD MERZOUGA หรือเทียบเท่า
|
วันที่หก
: เออร์ฟูย์ด - ทินเฮียร์ (Tinghir) - ทอดร้าจอร์จ (Todra
Gorge) วอซาเซท |
05.00
น. |
ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
นำท่านขี่อูฐชมเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินทรายในทะเลทรายซาฮาร่า
ทะเลทรายซาฮาร่า (SAHARA DESERT) เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ
มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ)
และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์
สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์
หากมีสัตว์และพืชพันธุ์ใดที่สามารถเติบโตในทะเลทรายได้ ก็ต้องปรับตัวกันอย่างมาก
เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหาวิธีในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้
ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าในทะเลทรายซาฮาร่า จากสภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทรายมีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทราย
เกือบเป็นศูนย์ตลอดปี ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเนินทราย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงาม
น่าประทับใจ ได้เวลานำท่านขี่อูฐกลับสู่โรงแรมที่พัก |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ ทอดร้าจอร์จ
Todra George ชมความงามของช่องเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในโอเอซิส
ลำน้ำเกลือที่ไหลผ่านช่องเขา กับหน้าผาสูงชันแปลกตา เป็นแหล่งปีนหน้าผาสำหรับนักเสี่ยงภัยทั้งหลาย
นำท่านเดินทางสู่ หุบเขาดาเดส Dades
Gorge แนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม
ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆสวยงาม แวะชม โอเอซิส
Tinerhir ชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ท่ามกลางความแห้งแล้ง
ยังมีความชุ่มชื้นของโอเอซิส ต้นปาล์ม เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากวอซาเซท |
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านเดินทางต่อบนเส้นทางที่ได้รับการขนานนามว่า
ถนนแห่งคาชบาห์หรือป้อมปราการนับพัน
เนื่องจากตลอดสองข้างทางจะมีคาชบาห์น้อยใหญ่หลายร้อยแห่งเรียงรายสุดลูกหูลูกตาตามถนนดังกล่าวสู่
เมืองวอซาเซท (Ouarzazate) ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์
ในปี ค.ศ.1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร
วอซาเซทเป็นเมืองถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่แวดล้อมไปด้วยสตูดิโอ
ภาพยนตร์ และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อการทำกิจกรรมต่างๆ
เช่นการขี่มอเตอร์ไซด์ อูฐ กิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย (สำหรับในฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ
(พ.ย.-เม.ย.) ควรเตรียมเสื้อกันหนาวให้เพียงพอ เพราะเมืองนี้อยู่ใกล้ภูเขาแอตลาส
ที่มีหิมะปกคลุมในช่วงดังกล่าว วอซาเซท อาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความแตกต่าง
และความผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ไหน วอซาเซทเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของทางตอนใต้
และที่นี่ยังเป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันออก
สำหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ชอบรสชาติของความเป็นทางใต้ ณ
จุดกึ่งกลางแห่งนี้ และยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสำรวจเมืองต่างๆได้ทุกวัน |
ค่ำ |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
พักผ่อนค้างคืนในเมืองวอซาเซท HOTEL KARAM FRAMISSIMA ระดับ
4 ดาวหรือเทียบเท่า
|
วันที่เจ็ด
: วอซาเซท-ไอท์ เบน ฮาดดู (Ait Benhaddou) - มาราเกช Fantasia
Show |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านชม ป้อมทาเริท Kasbah
Taourirt เป็นป้อมแห่งตระกูลกลาวี ภายใต้หมู่อาคารขนาดใหญ่
ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ จำนวนมากซ่อนอยู่เชื่อมต่อกันด้วยถนนเล็กๆ
และเส้นทางลับคดเคี้ยวตามอาคารที่เบียดเสียดกัน จากนั้นนำท่านชมคฤหาสน์ของผู้ปกครองมาราเกซ
ตระกูล กลาวี (Glaoui Palace) อยู่ภายใน ซึ่งยังมีลวดลายผนังอาคารและรูปแบบสถาปัตยกรรมอันหลากหลายของการสร้างอาคารของชาวเบอร์เบอร์
การออกแบบอาคารซึ่งเหมาะกับความเชื่อและความเป็นอยู่ของเหล่าเจ้าผู้ปกครอง
ในยุคของตระกูล Glaoui ที่นี่มีคนงานและคนรับใช้จำนวนหลายร้อยคนจึงต้องมีห้องเป็นจำนวนมาก
มีทั้งส่วนที่เป็นวังเก่า ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง บางห้องก็ว่างเปล่า
ยูเนสโก้ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาจากอาคารเดิมเพียง 1 ใน 3 ของอาคารทั้งหมด
ออกเดินทางสู่ เมืองไอท์ เบนฮาดดู (Ait
Benhaddou) เมืองไอท์ เบนฮาดดู เป็นเมืองที่ชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า
20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในโมรอคโคภาคใต้
คือ ป้อมไอท์ เบนฮาดดู (Kasbash of Ait Ben Hadou) เป็นป้อมดินซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์
เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนต์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ
Lawrance of Arabia , Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก้ |
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารออกเดินทางสู่ เมืองมาราเกช
(Marakesh) (ระยะทาง 187กิโลเมตร ใช้เวลา 2.40 ชั่วโมง)
ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส
ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้ เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐ ที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค
ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัลโมราวิดช่วงศ.ต.ที่
11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ
สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้
แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City
หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
จึงได้สมญานามว่าเป็น A city of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้
นำท่านชม มัสยิด คูตูเบีย (Koutoubia
Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่เก่าแก่ที่สุดในเมือง ไม่ว่าจะเดินไปแห่งใดในตัวเมืองก็จะเห็นมัสยิดนี้ได้
หอขานละหมาดมีความสูง 226 ฟุต (หรือ 70 เมตร) จากนั้นนำท่านเยือน
จัตุรัสกลางเมือง Djemaa Fnaa Square
ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน
เดินเล่นถ่ายรูปความมีชีวิตชีวา ที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้
พร้อมจับจ่ายหาซื้อของฝาก ของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ ได้ที่
ตลาดเก่า (Old Market) ที่อยู่รายรอบจัตุรัสอย่างเพลิดเพลิน
|
ค่ำ |
บริการอาหารเย็นที่
Fantasia ท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของสถานที่และสีสันของชาวโมรอคกันเบอร์เบอร์ที่ต้อนรับท่านด้วยอาหารและพร้อมชม
การแสดงพื้นเมือง โชว์โมรอคโค
พักค้างคืนในมาราเกชโรงแรม KENZI FARAH HOTEL ระดับ 5 ดาว
หรือเทียบเท่า
|
วันที่แปด
: มาราเกช (Marakesh) - เอซาเวร่า |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านชม สวนจาร์ดีน มาจอแรล
(Jardin Majorelle) หรือ สวนยิปแซงลอเร้นซ์ (Yves Saint
Laurent Gardens) ชื่อนี้เป็นที่คุ้นเคยของสาวๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่นสุดหรูของ
Yves St. Laurent นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์แห่งปารีส ฝรั่งเศส
ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสวนแห่งนี้ ในช่วงที่โมรอคโคตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส
ยิปแซงลอเร้นซ์มาที่ประเทศโมรอคโค เพื่อพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดจากงานออกแบบแฟชั่นโชว์
บ้านหลังนี้เคยตกเป็นของเศรษฐีแห่งมาราเกช หลังจากยิปแซงมาเยือนมาราเกช
ก็ได้เกิดความหลงใหลในเมืองแห่งนี้ และซื้อบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่พักผ่อน
ชมสวนที่ถูกออกแบบโดยใช้สีฟ้า และสีส้มเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเสา
แจกัน และชมนานาพรรณของต้นไม้แห่งทะเลทราย ที่จัดได้อย่างสวยงาม
จากนั้นเดินทางไปเยี่ยมชม พระราชวังบาเฮีย
(Bahia Palace) เป็นพระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต
สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa สถาปัตยกรรมออกเป็นแนวสมัยใหม่
โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น
แต่ด้วยความที่มีการวางแผนก่อสร้างและตกแต่งอย่างเร่งรีบ จึงเป็นที่วิจารณ์กันว่ารายละเอียดหลายๆอย่างในพระราชวังแห่งนี้ยังไม่สมบูรณ์ลงตัว
พระราชวังมีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น (Stucco) มีการวาดลายบนไม้
และประดับประดาด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงามละเอียดอ่อนมาก
จากนั้นเดินทางต่อไปยัง สุสานแห่งราชวงศ์ซาเดียน
(Saadian Tombs) เป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์ในสมัยราชวงศ์ซาเดียน
สถานที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมากกว่า 2 ศตวรรษ ภายหลังได้รับการบูรณะ
และเปิดให้เข้าชมความงดงามของงานศิลปะแบบมัวริส (Moorish)
แท้ๆความวิจิตรอลังการของห้องโถงภายใน เสาคอลัมน์หินอ่อนสีสวย
ลวดลายงานปูนที่ประดับประดาบนผนังและเพดาน สวนสวยภายนอกที่สร้างขึ้นใหม่
โดยเขาว่าเป็นการทำตามแบบสวนสวรรค์ของพระอัลเลาะห์ (Allah's
Paradise)
|
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคารในเมดิน่า
หลังอาหารนำท่านเดินทางต่อสู่ เมืองเอซาเวร่า
(Essaouira) (ระยะทาง174 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1.30
ชั่วโมง) เอซาเวร่า หมายถึงรูปภาพ ไม่ว่าจะถ่ายจากมุมไหนๆ
ภาพที่ได้มานั้นจะออกมาสวยอย่างไม่มีที่ติ เอซาเวร่าเป็นเมืองเล็กๆ
ริมขอบมหาสมุทรแอตแลนติก ที่มีเสน่ห์อย่างเป็นเอกลักษณ์ ในเขตเมืองเก่า
(เมดิน่า) มีกำแพงเมืองเก่าขนาดหนาซ้อนกัน 2 ชั้น ที่ใช้ป้องกันพายุหน้าร้อนที่พัดมาประจำทุกปี
บ้านเรือนและร้านค้าภายในเขตกำแพงเมืองทำด้วยปูนสีขาวกลมกลืนไปกับประตูสีฟ้า
สถาปัตยกรรมเหล่านี้ถูกหล่อหลอมมาจากวัฒนธรรมอันหลากหลาย ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นแหล่งที่อยู่ของพ่อค้าชาวยิว
และชาวยิวกลุ่มนี้เองที่เคยเปลี่ยนเมืองนี้เป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดของโมรอคโคในศตวรรษที่
17 และ 18 นำท่านเที่ยวชมเมืองเอซาเวร่า ให้ท่านเดินเล่นตลาดเก่าเมดิน่าแห่งเมืองนี้
ซึ่งมากมายผู้คนมาจับจ่ายซื้อของ ได้เวลาพอสมควรนำท่านชมพระอาทิตย์ตก
ณ.ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกที่ ป้อมปราการเมือง
Skala de laville ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเมือง
สวนบนป้อมมีปืนใหญ่วางเรียงรายอยู่เป็นแนวแถวและในอดีตส่วนล่างของป้อมใช้เป็นคลังเก็บอาวุธทโธปกรณ์
โรงม้าศึกที่ใช้ในการสงคราม |
ค่ำ |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
พักค้างคืนเมืองเอซาเวร่า ATLAS MEDINA AND SPA HOTEL ESSAOUIRRA
ระดับ 5 ดาวหรือเทียบเท่า |
วันที่เก้า
: เอซาเวร่า - เอลจาดีด้า (El Jadida) - คาซาบลังก้า |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านออกเดินทางสู่ เมือง
เอล จาดีด้า ระยะทาง 254 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 3.5
ชั่วโมง นำท่านชม เมืองเอลจาดีด้า เดิมชื่อ มาซากัน (Mazagan)
เป็นภาษาโปรตุเกส เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนอ่าวชายฝั่งทะเลแอตแลนติค
เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโมรอคโคที่ทำการค้ากับชาวฟินีเชียน
ต่อมาปี ค.ศ. 1502 ชาวโปรตุเกสขึ้นฝั่งที่นี่และได้สร้างป้อมปราการ
เรียกว่า El Brijia El Jaida หลังจากมีการสร้างเมืองขึ้นในปี
ค.ศ. 1506 ได้เรียกเมืองว่ามาซากัน ซึ่งกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของชาวโปรตุเกส
ในปี ค.ศ.1562 ป้อมถูกโจมตีโดยโดยชาวอาหรับแต่ไม่สำเร็จ ระหว่างค.ศ.1580
- 1640 ตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวสเปน และกลับมาถูกปกครองโดยชาวโปรตุเกสอีกครั้ง
ชมสถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนอิทธิพลระหว่างวัฒนธรรมยุโรปและโมรอคโค
ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2004 นำท่านชมบ่อเก็บน้ำดื่มใต้ดินประจำเมือง
นอกจากนั้นที่นี่ยังใช้เป็นคุกใต้ดินที่เคยใช้เป็นที่คุมขังของทาสในสมัยโปรตุเกส
และเป็นคลังเก็บอาวุธสงคราม |
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารเดินทางเดินทางสู่ คาซาบลังก้า
(ระยะทาง 101 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1.30 ชั่วโมง) นำท่านเที่ยวชมเมือง
'คาซาบลังก้า' หมายถึง บ้านสีขาว คำว่า 'คาซา' แปลว่า บ้าน
และ 'บลังกา' แปลว่า สีขาว เป็นเมืองที่คนทั่วโลกรู้จัก และอาจรู้จักมากกว่า
'ราชอาณาจักรโมรอคโค' ด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะเป็นเมืองท่าและเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานระหว่างประเทศแล้ว
ยังถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง Casablanca (โดยที่ไม่ได้ถ่ายทำในคาซาบลังก้าเลย)
เป็นเรื่องราวความรักระหว่างนายทหารอเมริกันและหญิงคนรัก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 ทำให้คาซาบลังก้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของโมรอคโคที่มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณเกือบ
5 ล้านคน นำท่านชม จตุรัสโมฮัมหมัดที่
5 ซึ่งเป็นใจกลางเมืองย่านธุรกิจสำคัญ อิสระให้ท่านถ่ายรูปบรรยากาศเมืองและชาวโมรอคโคท้องถิ่นขายน้ำในชุดประจำชาติอันเป็นสัญลักษณ์ของโมรอคโค |
เย็น |
บริการอาหารเย็นที่โรงแรม
หลังอาหารพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ในเมืองคาซาบลังก้า GOLDEN
TULIP HOTEL ระดับ 5 ดาว |
วันที่สิบ
: คาซาบลังก้า ราบัต - อาบูดาบี้ |
เช้า |
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม
หลังอาหารนำท่านชม สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่
2 (ชมด้านใน ซึ่งรวมค่าเข้าชมแล้ว) มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ
2 รองจากเมืองเมกกะ สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง
ชมทิวทัศน์รอบๆ สุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งทะเล ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่สวยงามของชาวโมรอคโคที่ชอบมาเดินเล่นหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแล้ว
จากนั้นชม โบถส์คริสเตียน (The Church
of our ladies of Lourdes) ภายในมีภาพกระจกสีสวยงามแสดงเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับศาสนา
ต่อด้วยจัตุรัสสหประชาชาติ ซึ่งเป็นใจกลางเมืองย่านธุรกิจสำคัญ |
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านออกเดินทางสู่ เมืองราบัต
(Rabat) ซึ่งมีระยะทาง94 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ
2 ชั่วโมง
นำท่านชมเมืองราบัตเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรมาตั้งแต่ปีค.ศ.1956
เมื่อโมรอคโคหลุดพ้นจากการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของฝรั่งเศส
และเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบทูตานุทูตจากต่างแดน
เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม นำชม ป้อมอูไดยะ
ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้นที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก
ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ ด้านในเป็นเมดิน่า บ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้า
ที่สะอาดตาน่าเดินเล่น (ทายซิว่าทำไมเมดิน่าแห่งนี้ จึงใช้สีฟ้า
) จากนั้นชม สุเหร่าหลวง ที่ทุกเที่ยงวันศุกร์
กษัตริย์แห่งโมรอคโคจะทรงม้าจากพระราชวังมายังสุเหร่า เพื่อประกอบศาสนกิจ
ชม สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5
พระอัยกาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีทหารยามยืนเฝ้าสง่าทุกประตู
และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง
ด้านหน้าของสุสานคือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่
12 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง
183 x 139 เมตร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ สนามบินเมืองราบัต
|
20.15
น. |
ออกเดินทางกลับสู่
กรุงอาบูดาบี้ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
โดยสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินที่ EY 616 |
วันที่สิบเอ็ด
: สนามบินสุวรรณภูมิ |
07.10
น. |
เดินทางถึง สนามบินกรุงอาบูดาบี้
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แวะเปลี่ยนเที่ยวบินเพื่อเดินทางต่อกลับกรุงเทพฯ |
10.10
น. |
ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ
โดยสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินที่
EY 404 |
19.50
น. |
ถึง สนามบินสุวรรณภูมิ
โดยสวัสดิภาพ |