อำเภอค่ายบางระจัน อนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจันและอุทยานค่ายบางระจัน อยู่ห่างจากตัวเมือง ๑๕ กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข ๓๐๓๒ มีพื้นที่ประมาณ ๑๑๕ ไร่ เป็นสวนรุกขชาติพักผ่อนหย่อนใจ และมีอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจันเป็นรูปหล่อประติมากรรมของหัวหน้าชาวค่ายบางระจันทั้ง ๑๑ คน ซึ่งสร้างโดยกรมศิลปากร ปรากฏสวยเด่นเป็นสง่าอยู่ในสวน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงเปิดอนุสาวรีย์นี้เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๑๙ ค่ายบางระจันมีความสำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์ ผืนแผ่นดินแห่งนี้ได้บันทึกเหตุการณ์ความกล้าหาญและเสียสละของวีรชนไทยที่เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๘ ในครั้งนั้นชาวบ้านบางระจันได้รวมพลังกันต่อสู้กับกองทัพพม่าซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาล โดยพม่าต้องยกทัพเข้าตีหมู่บ้านนี้ถึง ๘ ครั้ง ใช้เวลาถึง ๕ เดือน จึงเอาชนะได้เมื่อวันจันทร์แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีจอ พ.ศ.๒๓๐๙ ค่ายบางระจันในปัจจุบันได้สร้างจำลองโดยอาศัยรูปแบบค่ายในสมัยโบราณ นับเป็นอนุสาวรีย์ที่มีความสำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง วัดโพธิ์เก้าต้น หรือ วัดไม้แดง ตั้งอยู่ตรงข้ามอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๑๕ กิโลเมตร เป็นสถานที่ที่วีรชนชาวบ้านบางระจันได้เคยใช้เป็นที่มั่นในการต่อต้านพม่าที่ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๘ ชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า วัดไม้แดง เพราะภายในบริเวณมีต้นไม้แดง ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งอยู่หลายต้น และชาวบ้านถือกันว่าเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครกล้าตัดหรือทำลาย ในบริเวณวัดมี วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ ซึ่งเป็นผู้นำสำคัญผู้หนึ่งของชาวบ้านบางระจัน และใกล้ๆ กันก็มี สระน้ำพระอาจารย์ธรรมโชติ มีปลาอยู่ชุกชุมเพราะชาวบ้านถือว่าเป็นปลาศักดิ์สิทธิ์จึงไม่จับไปรับประทาน ส่วนหน้าวัดได้มีการจำลองค่ายบางระจันตามประวัติศาสตร์ไว้ด้วย กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดโพธิ์เก้าต้นเป็นโบราณสถาน ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๘
อำเภออินทร์บุรี วัดสุทธาวาส หรือ วัดใหม่ ตั้งอยู่ตำบลทับยา เลยจากวัดกระดังงาบุปผารามไปประมาณ ๕ กิโลเมตร ห่างจากที่ว่าการอำเภออินทร์บุรีประมาณ ๓.๕ กิโลเมตร มีวิหารหลังเก่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติพระจุฬามณี วาดด้วยช่างฝีมือชั้นครู ด้านทิศตะวันตกเป็นภาพตอนพระพุทธองค์ทรงออกบรรพชา ทิศเหนือเป็นภาพตอนผจญมาร ทิศตะวันตกเป็นภาพตอนพระพุทธองค์ฉันอาหารที่นายจุนนะถวาย ทรงประชวรแล้วเสด็จไปประทับ ณ ต้นรังคู่ เสด็จสู่ปรินิพพาน ทางทิศใต้ คือเรื่องราวของการถวายพระเพลิง การแจกจ่ายพระอิฐธาตุแก่เหล่ากษัตริย์และเทวดา บนหน้าบันเป็นภาพบรรจุพระอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้าลอยในน้ำ นับเป็นโบราณสถานที่มีความงดงามและมีคุณค่าอีกแห่งหนึ่ง วัดโบสถ์ ห่างจากตัวเมืองไปตามเส้นทางสายสิงห์บุรี-ชัยนาท (สายเก่า) ประมาณ ๑๖ กิโลเมตร เป็นพระอารามหลวง เดิมเป็นวัดร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาส่วนพระอุโบสถเป็นเพียงแห่งเดียวที่สร้างโดยใช้รางรถไฟเป็นแกนกลาง และที่น่าสนใจคือการแกะสลักบานประตูหน้าต่างโบสถ์โดยช่างที่มีฝีมือแกะสลักของเมืองสิงห์บุรี คือช่างชื่น หัตถโกศล ภายในโบสถ์มีพระประธานที่เก่าแก่ พุทธลักษณะที่งดงามมาก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินทร์บุรี ตั้งอยู่ในบริเวณวัดโบสถ์ มีโบราณวัตถุที่สำคัญและเป็นที่รวมความรู้ด้านประวัติศาสตร์ เช่น โบราณวัตถุที่ขุดพบได้จากแหล่งโบราณบ้านคูเมือง เครื่องประดับสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ พัดยศ เครื่องถ้วยศิลปะไทย-จีน เครื่องดนตรีไทย พระพุทธรูปสมัยต่าง ๆ เป็นต้น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินทร์บุรีนี้จะเปิดให้เข้าชมทุกวันพุธ-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐-๑๖.๐๐ น. ค่าเข้าชมชาวไทยคนละ ๑๐ บาท ชาวต่างประเทศคนละ ๓๐ บาท เมืองโบราณบ้านคูเมือง อยู่ในเขตตำบลห้วยชัน ห่างจากตัวอำเภอตามเส้นทางสายอินทร์บุรี-ชัยนาท ประมาณ ๗ กิโลเมตร ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๒๓ กิโลเมตร เข้าไปตามทางแยกวัดหนองสุ่มอีกประมาณ ๘ กิโลเมตร สันนิษฐานว่าเป็นชุมชนโบราณสมัยทวาราวดี ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมมน กว้าง ๖๕๐ เมตร ยาว ๗๕๐ เมตร มีเนินดินขนาดใหญ่ มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ มีการขุดค้นพบภาชนะดินเผามากมาย เช่น เครื่องถ้วยชาม หม้อ ไห กาน้ำ ลูกปัดหินสีต่าง ๆ ตะคันดินเผา ธรรมจักรหินเขียว ตุ้มหู และเหรียญเงินมีคำจารึกว่า ศรีทวาราวดีศวรปุญยะ แสดงให้เห็นว่ามีชุมชนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ติดต่อกันมาตั้งแต่สมัยฟูนันจนถึงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันวัตถุโบราณที่ค้นพบได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินทร์บุรี และภายในบริเวณเมืองโบราณบ้านคูเมืองปัจจุบันได้จัดให้เป็นสวนรุกขชาติมีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ร่มรื่นสวยงาม วัดม่วง ตั้งอยู่ที่ตำบลอินทร์บุรีริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ติดถนนสายเอเซีย ห่างจากตัวตลาดอินทร์บุรีมีทางเลี้ยวซ้ายไปประมาณ ๒.๕ กิโลเมตร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นประมาณปี พ.ศ. ๒๓๖๕ เดิมนั้นมีต้นมะม่วงอยู่มากจึงเรียกว่า วัดม่วง ภายในวัดมีวิหารเก่าแก่เป็นอาคารปูนรูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้ามีมุขยื่นออกมาที่หน้าบันประดับด้วยภาชนะเครื่องถ้วยต่างๆ ในวิหารมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยพุทธลักษณะงดงาม ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีรูปฐานสิงห์ มีฐานบัวขนาดใหญ่รองรับ เพดานประดับด้วยลายเขียนรูปดาว มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเขียนด้วยสีฝุ่น ฝีมือช่างพื้นบ้านสันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ และมีเรื่องราวพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า ตลอดจนแสดงภาพชีวิตความเป็นอยู่วัฒนธรรมของสังคมโบราณในระดับต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
Hotline 0-936468915, 0-823656241 ใบอนุญาตเลขที่ 11/05028