หุ่นยนต์ศิลปะเขมร อาคารด้านหลังของมณฑปครอบองค์พระมหามัยมุนี มีห้องจัดแสดงศิลปวัตถุประเภทเครื่องสัมฤทธิ์ 6 ชิ้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์ลงความเห็นว่าเป็นเครื่องสัมฤทธิ์ศิลปะเขมรแบบ บายน หล่อขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (อาณาจักรเขมรสมัยเมืองพระนคร)ประกอบด้วยรูปช้างเอราวัณ 1 ชิ้น รูปสิงห์ 3 ชิ้น รูปพระอิศวร 2 ชิ้น ซึ่งชาวพม่านิยมมาสักการะโดยใช้มือลูบคลำ ด้วยเชื่อว่าจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต บางคนลูบเฉพาะท้องของพระอิศวรเพื่อขอลูก บางคนลูบหัวสิงห์ด้วยเชื่อว่าจะได้รับพรให้มีสติปัญญาเฉียบแหลม บางคนลูบเฉพาะจุดที่ตนเองเจ็บไข้ได้ป่วย เช่น ปวดหัวเรื้อรังก็ลูบเศียรพระศิวะหรือเศียรช้างเอราวัณ ประวัติศาสตร์เครื่องสัมฤทธิ์ชุดนี้ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงนำมาจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อคราวยกทัพไปตีเมื่อ พ.ศ. 2112 หรือคราวเสียกรุงครั้งที่ 1 นำมาตั้งไว้ที่พระราชวังหงสาวดีเป็นเวลา 30 ปี ครั้นเมื่อยะไข่ตีกรุงหงสาวดีในสมัยพระเจ้าทันทบุเรงในปี พ.ศ. ก็นำเอาเครื่องสัมฤทธิ์ชุดนี้ไปไว้ที่วัดมหามัยมุนีที่เมืองยะไข่ นานถึง 180 ปี จนกระทั่งพระเจ้าปดุงยกทัพไปแย่งพระมหามัยมุนีมาจากชาวยะไข่ ก็ได้นำเอาเครื่องสัมฤทธิ์ชุดนี้พร้อมกับพระมหามัยมุนีมาไว้ที่ราชธานีอมรปุระ จากนั้นก็ย้ายพระราชวังมาที่เมืองมัณฑะเลย์ ศิลปวัตถุเครื่องสัมฤทธิ์ชุดนี้ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาระบุว่า เครื่องสัมฤทธิ์ชุดนี้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ได้มาจากเขมรเมื่อครั้งยกทัพไปตียโศธรปุระ(นครธม) พ.ศ. 1966 จึงเท่ากับมาตั้งอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา 146 ปีแล้วจึงไปอยู่ที่กรุงหงสาวดี องค์จำลองของพระมหามัยมุนี ความงามที่เป็นชื่อเลื่องลือของพระมหามัยมุนีทำให้มีพระพุทธรูปหล่อขึ้นโดยเลียนแบบปางมารวิชัยทรงเครื่องกษัตริย์องค์นี้มากมาย ในเมืองไทยคือพระเจ้าพาราละเข่ง ประดิษฐานที่วัดหัวเวียง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามประวัติเล่าว่า เมื่อตอนหล่อพระพุทธรูปองค์นี้แยกหล่อเป็น 9 ส่วนแล้วนำลงเรืองล่องมาตามแม่น้ำสาละวินมาประกอบที่เมืองแม่ฮ่องสอน และ อีกองค์หนึ่งคือพระพุทธมหามัย ประดิษฐานที่วัดไทยวัฒนาราม อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จำลองแบบมาจากพระมหามัยมุนีเมืองมัณฑะเลย์ โดยฝีมือช่างชาวไทใหญ่