• ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา
• ปราสาทนาคพัน

ทางเข้าปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน
ปราสาทนาคพัน
• ปีที่สร้าง : สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 18
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
• ศิลปะ : เป็นศิลปะแบบบายน
• ศาสนา : ศาสนาพุทธ นิกายมหายาน
• ในบรรดาปราสาทที่ก่อสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องยกให้ปราสาทนาคพันที่มีการก่อสร้างที่แปลกตามากที่สุด ตัวปราสาทตั้งอยู่กลางสระน้ำ เปรียบเสมือนเกาะอยู่กลางทะเล หรือเปรียบกับภูเขาหิมาลัยที่อยู่กลางมหาสมุทร น้ำจากสระแห่งนี้ถือเป็นน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือเปรียบประหนึ่งน้ำจากสระอโนดาต ซึ่งเป็นศูนย์รวมจากแม่น้ำทั้ง 5 ในอินเดีย ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมนา แม่น้ำเนรัญชลา แม่น้ำสินธุ และแม่น้ำพรหมบุตร ผู้ใดที่อาบหรือดื่มกินน้ำจากสระนี้โดยผ่านจากปากของราชสีห์ ช้าง ม้า และมนุษย์ที่อยู่ในศาลาทั้งสี่ทิศ เชื่อว่าจะสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้
• หากเราสังเกตจะพบว่าปราสาทพระขรรค์ ถูกออกแบบเปรียบประหนึ่งถูกสร้างอยู่ใจกลางเกาะซึ่งมีน้ำล้อมรอบแต่ปัจจุบันบารายนั้นได้ตื้นเขินหมดแล้ว จึงมองภาพไม่ออกว่าปราสาทนี้ตั้งอยู่กลางน้ำอีกต่อไป
• นาคพันรอบฐานปราสาท กลางสระน้ำเป็นที่ตั้งของฐานปราสาทที่มีลักษณะกลมเป็นชั้นๆ ที่ฐานหรือชั้นล่างสุดของฐานปราสาทนี้ เป็นนาคเจ็ดเศียรสองตัวที่หางเกี่ยวพันกันทางทิศตะวันตก ลำตัวโอบล้อมฐานหันหน้ามาทางทิศตะวันอออก นาคสองตัวนี้เชื่อกันว่าเป็นพญานาคที่ชื่อว่านันทะและอุปานันทะ
• ภาพสลักที่ปรางค์ประธาน ตรงกลางของสระมีบันไดขึ้นไป 7 ชั้น สู่ปรางค์ประธานซึ่งอยู่ตรงกลาง ทางเข้าอยู่ทิศตะวันออก ส่วนอีก 3 แห่งรอบปราสาทเป็นประตูหลอก ที่มุมของปรางค์ประธานมีรูปพญาครุฑ ด้านหลังของปรางค์ประธานมีภาพสลักคติธรรมทางพุทธศาสนา แต่ภาพเหล่านี้ได้ถูกดัดแปลงให้เป็นความเชื่อตามศาสนาฮินดู เช่น ภาพสลักเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวช ภาพนี้ถูกดัดแปลงให้มีรูปลักษณะคล้ายศิวลึงค์ อีกภาพหนึ่งเป็นภาพสลักเมื่อพระพุทธเจ้านั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์ก็ถูกดัดแปลงเช่นกัน
• ประติมากรรมลอยตัวรูปม้าพลาหะ อยู่ด้านหน้าของปรางค์ประธานด้านทิศตะวันออก ม้าพลาหะเป็นอวตารหนึ่งของพระโพธิสัวต์อวโลกิเตศวร ตามตำนานกล่าวว่าเมื่อพ่อค้าจากอินเดียลงเรือสำเภาเพื่อเดินทางไปยังเกาะศรีลังกาเกิดพายุระหว่างทาง เรือถูกพายุโหมกระหน่ำจนเรือแตก พระโพธิสัตว์ได้แปลงพระองค์เป็นม้ามีปีกลงไปให้ความช่วยเหลือคนที่อยู่กลางมหาสมุทรได้อย่างปลอดภัย ม้าพลาหะเปรียบเสมือนยานพาหนะลำใหญ่ที่พาผู้คนสู่มรรคผลนิพพาน
• รูปสลักคน ราชสีห์ ม้า ช้าง รูปสลักในศาลาทางด้านทิศตะวันออกมีลักษณะเป็นใบหน้าของมนุษย์ ส่วนทางด้านทิศใต้เป็นรูปใบหน้าราชสีห์ รูปของม้าอยู่ทางด้านทิศตะวันตก และรูปของช้างอยู่ทางทิศเหนือ สันนิษฐานว่ารูปสลักใบหน้ามนุษย์เดิมทีเป็นหน้าของวัว เพื่อให้สอดคล้องกับคติธรรมทางศาสนาฮินดูเช่นเดียวกับภาพสลักพระพุทธเจ้าที่ถูกสกัดใบหน้า ลำตัว แขน ออกให้เหลือฐานกับลำตัวมองดูคล้ายศิวลึงค์ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน

ปราสาทนาคพัน
ปราสาทพระขรรค์
ปราสาทพระขรรค์
• ปีที่สร้าง : สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1734)
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
• ศิลปะ : เป็นศิลปะแบบบายน
• ศาสนา : ศาสนาพุทธ นิกายมหายาน
• พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับว่าเป็นมหาราชที่ยิ่งใหญ่ นอกจากจะทรงสร้างปราสาทต่างๆ ขึ้นมากมายเพื่อใช้เป็นที่ประกอบพิธีทางพุทธศาสนาแล้วพระองค์ยังทรงให้ความสำคัญกับด้านสาธารณสุขด้วย ด้วยการสร้างอโรคยศาลาถึง 102 แห่ง ในบรรดาปราสาทต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ต้องยกให้ปราสาทพระขรรค์เป็นโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในรัชสมัยของพระองค์มีราชครูกว่าหนึ่งพันคนปราสาทแห่งนี้จึงใช้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งพระพุทธศาสนาก็ว่าได้ เช่นเดียวกับปราสาทตาพรหมก็เป็นปราสาทที่สร้างให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาเช่นกัน
• บริเวณที่สร้างปราสาทพระขรรค์ ถูกขนาดนามว่าเป็นทะเลแห่งเลือด เพราะในบริเวณนี้เคยเป็นสมรภูมิรบระหว่างพวกขอมที่อยู่ในเมืองพระนครและพวกจาม ศึกสงคราครั้งนั้นทำให้ขอมชนะจาม จึงเรียกปราสาทแห่งนี้ว่าปราสาทชัยศรี เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของพระองค์ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในจารึกในปราสาทพระขรรค์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นปราสาทพระขรรค์ อันหมายถึงพระแสงดาบที่ทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ชนะอริราชศัตรู
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างปราสาทพระขรรค์นี้เพื่ออุทิศให้แก่พระราชบิดา โดยสร้างหลังจากที่พระองค์ทรงสร้างปราสาทตาพรหมเพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดาแล้ว 5 ปี
• เสานางเรียง ทางเข้าปราสาททั้งด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออกของปราสาทพระขรรค์ สองฟากฝั่งมีเสานางเรียงเป็นแถวยาว ระยะทางประมาณ 300 เมตร
• รูปสลักนูนสูงครุฑที่กำแพง กำแพงทางเข้าปราสาทมีประติมากรรมที่สวยงาม ได้แก่รูปสลักนูนสูงเป็นรูปครุฑขนาดสูงเท่าตัวกำแพงศิลาแลงหรือประมาณ 3 เมตร ครุฑใช้มือทั้งสองจับหางนาค ส่วนขาของครุฑทั้งสองข้าง ก็จับลำตัวของนาค ประติมากรรมนี้จะพบเห็นได้ที่ด้านข้างโคปุระที่กำแพงปราสาททั้งสี่ทิศ
• ต้นสะปง ที่โคปุระด้านทิศตะวันออกของระเบียงคต มีรากของต้นสะปงขนาดใหญ่ปกคลุมตั้งแต่หลังคาของระเบียงคต รากของมันจะชอนไชมายังเสาหินค้ำยันก่อนลงสู่พื้นดิน ลำตัวมีความสูงกว่า 20 เมตร แผ่กิ่งก้านสาขาแตกแขนงออกไปทั่ว เป็นที่นิยมถ่ายภาพของนักท่องเที่ยว ลักษณะคล้ายกับปราสาทตาพรหม
• อาคารโรมัน ถัดมาจากด้านซ้ายของโคปุระทางด้านทิศตะวันออก มีอาคาร 2 ชั้น ลักษณะของเสาทั้งหมดเป็นเสากลม คล้ายทรงโรมัน ความสูงของเสานี้ประมาณ 3 เมตร ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ยังสันนิษฐานไม่ได้ว่าถูกสร้างมาเพื่อจุดประสงค์ใด
• ภาพสลักต่างๆ ที่หน้าบันและทับหลัง เกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดู มีให้เห็นโดยทั่วไป เช่น ภาพสลักพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ภาพการกวนเกษียรสมุทร ภาพการรบระหว่างทัพลิงกับยักษ์ ส่วนรูปีวนางอัปสรตามกรอบประตูและกำแพงด้านในก็มีให้เห็นทั่วไป ส่วนภาพสลักที่เป็นคติธรรมทางพุทธศาสนาถูกสกัดดัดแปลงหรือกระเทาะทิ้งออกไปเป็นส่วนใหญ่ ภาพพระพุทธรูปที่ยังคงพบเห็นเหลืออยู่เพียงที่เดียว ได้แก้ เสานางเรียงหน้าโคปุระกำแพงทิศตะวันออกของปราสาท ซึ่งไม่ได้ถูกกระเทาะออกไป เชื่อว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ทรงเป็นผู้บัญชาให้ดัดแปปลงปราสาทแห่งนี้เข้ากับศาสนาฮินดู ซึ่งพระองค์ทรงนับถือแทนสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8
• สะพานนาคราช โคปุระที่จะนำไปสู่กำแพงด้านทิศตะวันตก จะพบประติมากรรมลอยตัวอสูรฉุดนาคและเทวดาฉุดนาคเป็นแนวยาวกว่าร้อยเมตร โดยทั่วไปเราเรียกบริเวณนี้ว่าสะพานนาคราช จากสะพานนาคราชจะพบทางดำเนินซึ่งทั้งสองข้างทางนี้ประกอบด้วยเสานางเรียงอยู่ตลลอดระยะทางกว่า 300 เมตร