ราชวงศ์ภูฎาน ราชวงศ์วังชุกภูฏาน
มหาบุรุษ คุรุรินโปเช ผู้สถาปนาศาสนจักร
ย้อนไปในพุทธศตวรรษที่ 12 เพ่งมองไปที่แผ่นดินตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัยติดต่อกับทิเบต
ในขณะนั้นมิมีใครที่จะล่วงรู้ได้ว่ามีชนพื้นถิ่นใดหรือมีผู้ใดอยู่อาศัยมาก่อนทราบกันแต่เพียงว่ามีลามะจากทิเบตนามว่า
คุรุรินโปเช รอมแรมมาถึงดินแดนถิ่นนี้ และต่อมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
คุรุรินโปเช ท่านนี้ เป็นที่รู้จักของชาวภูฏานในนามว่า
ปัทมสัมภาวะ หรือ ปัทมสมภพ (แปลว่า : เกิดในดอกบัว) จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าลามะท่านนี้ได้ใช้วิทยายุทธ์และอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชสู้รบกับศัตรูผู้มาแก่งแย่งช่วงชิงดินแดน
ไม่ว่าจะเป็นลามะรูปอื่นๆจนกระทั่งแม้ทูตผีปีศาจ ในที่สุดท่านได้รับชัยชนะและลงหลักปักฐาน
ณ ดินแดนแห่งนี้สำเร็จ พร้อมกับการเป็นเจ้าชีวิตเจ้าพิธีกรรม
หยั่งรากฝังลึกลัทธิตันตระ-วัชรยาน จนกลายเป็นวิถีชีวิตของชาวภูฏานมาจนถึงทุกวันนี้
ปัทมสัมภาวะ หรือ ปัทมสมภพ
อันหมายถึง ผู้ที่เกิดในดอกบัว เป็นชื่อเรียกขานจากตำนาน
ส่วน คุรุรินโปเช เป็นสมญานามของท่าน (ต่อมาเป็นชื่อชั้นในคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่)
รินโปเช หรือ ริมโปเช หมายถึง
พระลามะผู้เป็นพระอาจารย์ผู้ได้รับการเคารพบูชาอย่างสูงส่ง
ผู้เป็นพระราชาคณะชั้นสูง ใช้กับพระลามะที่เชื่อกันว่าอวตาร
(ผู้แบ่งภาคมาเกิด) เท่านั้น โดยไม่ระบุแน่ชัดว่าอวตารมาจากผู้ใด
คุรุรินโปเช ผู้ให้กำเนิดของพุทธตันตระ-วัชรยานในภูฏาน
ส่วน ปัทมสมภพ หรือ คุรุรินโปเช เป็นชาวอินเดีย เป็นลามะผู้สอนรหัสยลัทธิในมหาวิทยาลัยนาลันทาอินเดียตอนเหนือ
และเป็นผู้เผยแผ่พุทธตันตระ-วัชรยานในภูฏาน ต่อมาคุรุรินโปเชท่านนี้ได้รับการสักการะบูชาในฐานะพระพุทธเจ้าองค์ที่สองตามความเชื่อของชาวภูฏาน
มีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาจนกลายเป็นตำนานดินแดนภูฏานว่า
ปัทมสมภพ หรือ คุรุรินโปเช
เกิดตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า หลังพุทธปรินิพพานจะมีมหาบุรุษนามว่า
ปัทมะ มาจุติในดอกบัวในทะเลดิเมโกษะ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอุเกนยุลเมืองหลวงของโอติยานะ
(ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน) และจะได้เป็นพระราชาแห่งศาสนจักร
คำพยากรณ์กล่าวต่อไปว่าก่อนจะมีชื่อเสียงท่านจะถูกพระเจ้าอินทโพธิกษัตริย์จักษุบอด
ผู้เป็นพระราชบิดาเลี้ยงเนรเทศ เพราะพระองค์หวังจะให้ปัทมสมภพสืบทอดราชบัลลังก์
แต่ปัทมสมภพกลับขัดขืนเพราะต้องการจะออกบวช เรื่องราวที่บันทึกสืบต่อกันมา
อาจจงใจจะให้คล้ายคลึงกับประวัติพระพุทธเจ้า ต้องไม่ลืมว่าปัจจุบันท่านปัทมสมภพรินโปเชได้รับการยกย่องสักการบูชาในฐานะพระพุทธเจ้าองค์ที่สองของชาวภูฏาน
เมื่อปัทมสมภพรินโปเชหนีการสืบราชบัลลังก์ออกมาบำเพ็ญเพียรในป่า
ได้ใช้อิทธิฤทธิ์ปราบภูตผีปีศาจที่เป็นมารขัดขวางการเผยแผ่พระพุทธศาสนานับครั้งไม่ถ้วน
ก่อนที่จะบรรลุเป็นคุรุรินโปเชและออกไปเผยแผ่ธรรมในทิเบต
ดินแดนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปไม่ถึง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์พระเจ้าจักกยาลโปรบพุ่งกับกษัตริย์นวราชที่โล-มอน
ดินแดนภาคใต้ในทิเบต (ภูฏานในปัจจุบัน) พระเจ้าจักยาลโปสูญเสียพระโอรสไปในสนามรบ
พระองค์เศร้าเสียพระทัยและสาปแช่งภูตผี รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ไม่อำนวยช่วยเหลือ
ความทราบถึงคุรุปัทมสมภพ ได้รับนิมนต์มาช่วยปราบภูตผีวิญญาณร้ายจนราบคาบ
ผู้ที่เป็นผู้ช่วยท่านคุรุปัทมสมภพในการปราบผีร้ายคราวนั้นเป็นสุภาพสตรีนามว่า
ซุงมา หรือ ตันตรเทวี
สิ่งที่ท่านได้รับพระราชทานรางวัลเป็นการตอบแทนจากพระเจ้าจักกยาลโป
คือ พระราชธิดาคนงามของพระองค์พระนามว่า ลาซิก พุมเดน โซโม
ผู้ที่มีลักษณะแห่ง ฑากิณี 21 ประการ (ฑากิณี คือ ยักษิณีที่ใจดี
แต่ฮินดูว่าเป็นหญิงโขมด บริวารของนางกาลี) การที่พระลามะชั้นสูงจะมีสตรีคู่บารมี
หรือมีหญิงสาวคู่เคียงคู่เสน่หา ไม่ใช่เรื่องแปลก หลังจากนั้นคุรุปัทมสมภพได้บำเพ็ญสมาธิในถ้ำวัชรคูหา
2 วัน โดยมีสตรีงาม ลาซิก พุมเดน โซโม คอยปรนนิบัติรับใช้
จนบรรลุคุณวิเศษระดับสุดยอดบรรลุฌานถึงขั้นเหาะเหินเดินอากาศได้
และออกมาปัดเป่ารังควานบ้านเมือง โดยใช้พลังอำนาจของลัทธิตันตระจนพระเจ้าจักกยาลโปหายจากประชวร
ต่อมาเกิดความสมานฉันท์ระหว่างกษัตริย์ที่รบกันมา และต่างนับถือคุรุปัทมสมภพและลัทธิตันตระเป็นหนึ่งเดียวกัน
ปัทมสมภพ หรือ คุรุรินโปเช
จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐานทางศาสนจักร-ตันตระ ในดินแดนตอนใต้ของภูฏานในปัจจุบัน
จึงไม่น่าแปลกใจที่ ปัทมสมภพ หรือ คุรุรินโปเช กลายเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์
เป็นที่สักการบูชาของชาวภูฏานสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
ภายใน ซอง อันเป็นอารามและป้อมปราการอเนกประสงค์รวมทั้งวัดวาอารามต่างๆในภูฏานจะมีรูปปั้นของคุรุปัทมสมภพ
8 ปาง ไว้ให้คนเคารพกราบไหว้ ในฐานะผู้มีคุณสูงสุด 8 ประการ
คือ
1.ผู้อำนวยสุขแก่โลกทั้งสาม
2.ผู้คุ้มครองให้พ้นภยันตรายทั้งปวง
3.ผู้เป็นเจ้าแห่งคัมภีร์ตันตระ-วัชรยาน
4.ผู้โอบอุ้มปลอบโยนชาวโลก
5.ผู้ตรัสรู้พบแสงสว่างแห่งปัญญา
6.ผู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง
7.ผู้ประกาศพุทธศาสนาตันตระ-วัชรยาน
8.ผู้ประทานปัญญาอันล้ำเลิศ
ในพุทธศตวรรษที่ 13 ได้มีลามะจากทิเบตมาร่วมสืบสานพุทธมหายานตันตระ-วัชรยานในดินแดนภูฏาน
ระดมพระและผู้คนก่อสร้างซอง ซึ่งเป็นทั้งป้อมปราการ ที่พักและที่ทำงานทางด้านศาสนจักรและอาณาจักร
รวมทั้งวัดวาอาราม ด้านทิศตะวันตกของภูฏาน จนลัทธิตันตระ-วัชรยานหยั่งรากฝังลึกไปในดินแดนแห่งนี้
ในปี พ.ศ. 1763 ลามะปาโช หรือต่อมาคือ
ปาโชดรุกอมโชโป เดินทางจากทิเบตมาเผยแผ่พระพุทธศาสนามหายานนิกายดรุกปะกัคยุที่ดินแดนแถบนี้
ถูกลามะ 5 รูป ที่มาตั้งหลักปักฐานอยู่ก่อนแล้วขับไล่เกิดการต่อสู้กัน
ปรากฏว่าลามะปาโชมีพลังอำนาจเหนือกว่า ลามะทั้ง 5 รูปจึงหนีหายไป
ท่านลามะปาโชจึงได้รับการยอมรับนับถือมากจากคนพื้นถิ่น
ตามประวัติกล่าวไว้ว่า ลามะปาโช
เดินทางมาก็เพื่อติดตามอาจารย์สังปะกยาเกล ที่เมืองดรุกราลุง
เมื่อทราบว่าอาจารย์ได้มรณะไปก่อนแล้วจึงได้รับคำแนะนำจากศิษย์ไปศึกษาในสำนักทางตะวันตกจนสำเร็จ
แล้วจึงได้ออกเดินทางเผยแผ่ธรรมในภูฏาน ระหว่างทางได้ปราบปีศาจร้ายในร่างจามรีจนสาบสูญไป
ผู้คนที่พบเห็นต่างเลื่อมใสเข้าฝากตัวเป็นสาวก แล้วออกเผยแผ่ธรรมมาทางเมืองทิมพูในปัจจุบัน
ขณะเดินทางได้พบรักกับสตรีที่มีลักษณะ ฑากิณี จึงแต่งงานกันจนมีลูกชาย
4 คน หญิง 1 คน กล่าวกันว่าลามะปาโชสร้างศรัทธาธรรมอย่างกว้างขวาง
ทั้งมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ในการปราบปีศาจร้ายเป็นที่เลื่องลือของชาวบ้าน
แต่ลามะปาโชก็พบจุดจบจากการโดนวางยาพิษในปี พ.ศ. 1819 จากลามะทั้ง
5 ซึ่งย้อนมาล่าชีวิตหลังจากเคยหนีหัวซุกหัวซุนมาแล้ว อย่างไรก็ตาม
ลามะปาโช ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบทอดศาสนจักรในภูฏาน โดยการสร้าง
ซอง ให้ลูกชายทั้ง 4 ไปพำนักและครอบครองเมืองคนละเมืองไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
ซับดรุง
งาวังนัมเกล ผู้สถาปนาราชอาณาจักรภูฏาน
งาวังนัมเกล เกิดที่ทิเบต เป็นบุตรของดุงเซมิพัมเทนปิ
นยิมะ เล่าขานกันว่า เมื่อออกจากครรภ์มารดา ก็เกิดรุ้งกินน้ำบนท้องฟ้า
หมู่เมฆกระจัดกระจายราวดอกไม้ปูประดับเวหา งาวังนัมเกล ได้ชื่อว่าเป็นผู้อวตารมาจากพระสังฆราชในนิกาย
ดรุกปะกัคยุ ของทิเบต เป็นผู้มีสติปัญญาตั้งแต่เด็ก พออายุ
8 ขวบก็บวช และได้ฉายาว่า งาวังนัมเกล ศึกษาสรรพศาสตร์จนเชี่ยวชาญ
พระสูตร-ตันตระ-กรรมฐาน-จริยศาสตร์-พิธีกรรมต่างๆ ตลอดจนถึงไวยกรณ์และอภิธานศัพท์
จากความปราดเปรื่องเกินมนุษย์ จึงกล่าวกันว่า งาวังนัมเกล
เป็นอวตารแบ่งภาคมาเกิดจากปัทมะการ์โป และเป็นผู้ที่อยู่ในคำพยากรณ์ของคุรุปัทมสัมภาวะว่า
บุรุษผู้ที่สมญานามว่า ดอร์จี (สายฟ้า) จะครองศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์แห่งภูฏาน
งาวังนัมเกล ขึ้นปกครองเมืองดรุกราลุงตั้งแต่อายุ
13 ขวบ แต่ก็ใช่ว่าจะปกครองแว่นแคว้นได้โดยสงบ โดยเฉพาะถิ่นที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีของผู้นำนิกายต่างๆ
ครั้งหนึ่ง สังเดสีพุนโชนัมเกล นำกำลังมาช่วงชิงพระบรมสารีริกธาตุไปได้
การเจรจาต่อรองของงาวังนัมเกลล้มเหลว จึงต้องออกจากเมืองดรุกราลุงไปเมืองกลาสา
(ภูฏานตอนเหนือ) กอนวังโชแลม นำราษฎรเมืองกลาสามารับคำสอนทางพระพุทธศาสนาจาก
งาวังนัมเกล จากนั้นงาวังนัมเกลออกจาริกเผยแผ่ธรรมมายังทิมพูและต่อมายังเมืองพาโร
ความทราบถึงสังเดสีพุนโชนัมเกลว่า มีผู้คนเลื่อมใสศรัทธางาวังนัมเกลมากมาย
ก็เกรงว่างาวังนัมเกลจะสั่งสมบารมีย้อนกลับมาโค่นล้มตน จึงส่งเสียงจากทิเบตว่า
หากงาวังนัมเกลสั่งสมผู้คนจะตามมาราวีถึงที่ ว่าแล้วก็ยกกำลังมา
เกิดการสู้รบกับกองกำลังของฝ่ายงาวังนัมเกล ทหารของเดสีพุนโชล้มตายเป็นเบือต้องหนีกระเซอะกระเซิงกลับไปถิ่นทิเบต
การศึกครั้งนี้ก็เป็นที่ร่ำลือกันว่า
งาวังนัมเกล ชนะศึกด้วยวิทยายุทธ์และอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ดุจเทพเจ้า
หลังชนะศึก งาวังนัมเกลย้อนกลับมายังเมืองทิมพู เชวังเทนชินแห่งทังคุซอง
ให้การต้อนรับและมอบทังคุซองให้ งาวังนัมเกล เป็นที่พำนักเผยแผ่ธรรม
ด้วยความเป็นลามะที่มีความสามารถและอิทธิฤทธิ์สูงส่ง งาวังนัมเกล
จึงได้รวบรวมแคว้นน้อยใหญ่ตามหุบเขาเป็นอาณาจักรเดียว มีศูนย์กลางอยู่ทางทิศเหนือของหุบเขาเมืองทิมพู
ด้วยความเก่งกล้าสามารถ จึงได้รับสมญานามว่า ซับดรุง(ออกเสียงตามชาวภูฏาน)
มีความหมายว่า ผ็ที่ทุกคนยอมศิโรราบแทบเท้า เชวังเทนซิน
มอบทังคุซองให้พร้อมพระอวโลกิเตศวรสลักไม้จันทน์เป็นการคารวะ
กษัตริย์เนปาลถวายสถูปโพธินาถและสถูปสวยัมภูวนาถ ขณะเดียวกัน
งาวังนัมเกล ได้อภิเษกสมรสกับนางซัม ดอลการ์ โครมา และมีโอรสซึ่งเป็นผู้สืบทอดทางศาสนาในเวลาต่อมา
ซับดรุง งาวังนัมเกล ได้บัญชาการสร้าง ซอง ขึ้นหลายแห่ง
(ซอง หรือ ซง เรียกตามการออกเสียงของชาวภูฏาน) เป็นทั้งอารามวัดและป้อมปราการป้องกันหรือใช้ในการโจมตีหรือต่อต้านการรุกรานของข้าศึกปี
ปี พ.ศ.2163 สร้างเชอรีดอร์จีซอง
ปี พ.ศ.2172 สร้างสิมโทชาซอง
ปี พ.ศ.2182 สร้างพูนาคาซอง ตรงแม่น้ำโพ(แม่น้ำพ่อ) และแม่น้ำโม(แม่น้ำแม่)
ไหลมาบรรจบกัน (เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องลือในปัจจุบัน)
ทรงย้ายศูนย์การบริหารคณะสงฆ์จากเชอรีดอร์จีซองมายังพูนาคา
ยกเมืองพูนาคาขึ้นเป็นเมืองหลวงของภูฏาน และในที่สุดก็สถาปนาอาณาจักรดรุกยุลขึ้นมา
และสถาปนาตนเองเป็นปฐมสังฆราชา
อาณาจักรดรุกยุล หรือดินแดนมังกรสายฟ้า
หรือมังกรฟ้าคำราม จึงเป็นชื่อที่คนท้องถิ่นเรียกชื่อประเทศของเขาว่า
ดรุกยุล มาจนถึงทุกวันนี้ และเรียกศาสนาในนิกายที่ตนนับถือว่า
ดรุกปา(ดรุกปะกัคยุ) เป็นชื่อศาสนาประจำชาติ ดรุก คือ
ภูฏาน ยุล อีกนัยหนึ่งหมายถึง ชัยชนะ
ซับดรุง งาวังนัมเกล
ได้วางรากฐานทางการปกครองของเฉพาะภูฏานเป็นเบื้องต้นขึ้น
ให้ฝ่ายศาสนจักรมีสังฆราชาหรือ เจเคนโป เป็นประมุข ฝ่ายอาณาจักรมีกษัตริย์เป็นประมุข
ผู้ปกครองส่วนท้องถิ่นมีเจ้าอาวาสเรียกว่า เดซี เป็นผู้นำภายใต้กฎหมาย
2 ฉบับ คือ กฎหมายทางใจและกฎหมายทางโลก ซึ่งมีกฎข้อบังคับและโทษหนักเบาลดหลั่นกันไป
ในท่ามกลางหิมะและลมหนาวยะเยือก ยามนั้นพูนาคาซองจะเป็นที่ประทับของ
เจเคนโป พร้อมคณะบริหารสงฆ์ส่วนกลาง เจเคนโป คือ พระลามะที่มีตำแหน่งบริหารบ้านเมืองสูงสุด
บางองค์ก็เป็นผู้อวตารโดยไม่มีประวัติว่าอวตารมาจากผู้ใด
บางองค์ก็มิได้เป็นอวตาร
ชีวิตในมุมหนึ่งของซับดรุง
งาวังนัมเกล ถูกกล่าวขวัญไว้ในหนังสือของรัฐบาลภูฏานอย่างเลิศเลอ
ในฐานะผู้มีอิทธิฤทธิ์ปราบผีร้ายที่มาขัดขวางการสร้างซองหรือการเผยแผ่ธรรม
ผีหรือมารร้ายที่มีตัวตนนัยหนึ่งนั้นก็คือ สานุศิษย์ของลามะสังเดสีพุนโชนัมเกลที่สาวกทั้ง
5 เคยพ่ายแพ้ยับเยินไปนั่นเอง แต่ก็ส่งศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าเข้ามาราวีไม่วายเว้น
มีครั้งหนึ่งเมื่องาวังนัมเกลไปบัญชาการสร้างซองที่เมืองซิมโทกา
ก็ถูกข้าศึกก๊กนี้เข้าโอบล้อมรอบซองอยู่หลายวันเพื่อตัดเสบียง
แต่ ซับดรุง งาวังนัมเกลก็อาศัยอิทธิฤทธิ์ขับไล่ศัตรูเจ้าเก่าหนีไปได้อีก
และสร้างซิมโทกาซองจนสำเร็จในปี พ.ศ.2172 ณ เมืองนี้ ซับดรุง
งาวังนัมเกล ได้บุตรชายที่เกิดจากนางทสีซัมดอลการ์โคมาเป็นรางวัล
และตั้งนามบุตรชายว่า จัมเปลดอร์จี เมื่อเติบใหญ่ก็ให้เล่าเรียนศิลปศาสตร์แขนงต่างๆรวมทั้งพุทธศาสนานิกายดรุกปา
หรือ ดรุกปะกัดยุ อันเป็นศาสนาประจำชาติภูฏานสืบต่อมา แม้ซับดรุง
งาวังนัมเกล จะเอาชนะศัตรูและภูตผีปีศาจมาแทบนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ท่านก็สิ้นชีพในปี พ.ศ.2196 ในขณะมีอายุเพียง 54 ปีเท่านั้น
ด้วยโรคฝีดาษ
ความตายของ งาวังนัมเกล ถูกปิดเป็นความลับนานราว
54 ปีจึงเปิดเผยสู่โลกภายนอก ศพงาวังนัมเกลบรรจุไว้ที่พูนาคา
ซอง แม้ว่าพูนาคา ซอง จะถูกศัตรูบุกเผาถึง 5 ครั้ง แต่ศพของงาวังนัมเกลก็ยังคงสภาพอยู่ได้เพราะถูกเก็บไว้ในหลืบนิรภัยภายในซองยากที่ใครจะทำลายได้
เมื่อลามะสังเดสีพุนโชนัมเกลทราบว่าศัตรูคู่อาฆาตมรณภาพก็ล้างบาปทางกายและทางใจที่มีซับดรุง
งาวังนัมเกล ด้วยการสร้างเหรียญจารึกมันตระด้วยมนตรา 16
บท มีข้อความยกย่องตนเองข่มผู้อื่น และการจะเป็นผู้ยกระดับคำสอนของนิกายดรุกปาสืบต่อไป
เมื่อข่าวการมรณภาพของ ซับดรุง
งาวังนัมเกล แพร่ออกไปในกาลต่อมา ความระส่ำระสายในบ้านเมืองก็เกิดขึ้น
ผู้สืบทอดตำแหน่งไม่ได้รับความเชื่อถือจากบรรดาผู้นำหัวเมืองเหมือนที่เคยเป็นมา
ศูนย์กลางแห่งอำนาจเริ่มสั่นคลอน ในช่วงเวลานั้นจักรวรรดินิยมอังกฤษได้เคลื่อนทัพมายังดินแดนแถบนี้
เกิดการสู้รบระหว่างชายแดนรอยต่อของรัฐเบงกอล-อัสสัมของอินเดียและบริเวณตอนใต้ของภูฏาน
การสู้รบดำเนินอยู่ราวสองปี
(ระหว่างปี พ.ศ.2407-2408) ภูฏานอยู่ในยุทธภูมิที่ดีกว่า
และเชี่ยวชาญการรบในหุบเขาจึงสามารถต้านทานการรุกรานของอังกฤษไว้ได้
วีรบุรุษแห่งการสู้รบในครั้งนั้นคือ เพนลอปจิกมี นัมเกล
วังชุก ผู้นำฝ่ายฆราวาสจากเมืองตองสา
ราชวงศ์ภูฏาน
: ยุคราชวงศ์วังชุก
เริ่มต้นนับจากท่าน อูเก็น วังชุก
( Ugyen Wangchuk) บุตรชายของท่านจิกมี นัมเกล (Jigme
Namgyel ค.ศ. 1825 - 1882)
จิกมี นัมเกล วังชุก เจ้าเมืองตองสา เมื่อชนะศึกภายนอกแล้วก็ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำฝ่ายฆราวาส
แต่ศึกภายในยังไม่สงบ ได้เกิดความขัดแย้งกับสังฆราชาผู้นำศาสนจักรในขณะนั้น
ไม่ลงรอยกันในการปกครองเมืองพาโร ทำให้เกิดการสู้รบกัน ชาวดรุกยุลส่วนมากเข้าร่วมสนับสนุน
จิกมี นัมเกล ร่วมรบเต็มกำลัง เมื่อจิกมี นัมเกล ได้รับชัยชนะจึงแต่งตั้งให้
อุเกน วังชุก บุตรชายเป็นเจ้าเมืองพาโร แต่บรรดาแว่นแคว้นก็ยังไม่ยอมสยบ
จิกมี นัมเกล จึงนำกำลังออกปราบจนราบคาบ และได้อำนาจการปกครองอย่างเบ็ดเสร็จ
หลังจากรวมเมืองใหญ่น้อยเป็นหนึ่งเดียว จิกมี นัมเกล วังชุก
จึงเป็นปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์วังชุก โดยมี อุเกน วังชุก ผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบิดาร่วมปกครองเมืองสำคัญ
เป็นรัชทายาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2440 คณะสงฆ์ที่ปรึกษาแห่งรัฐและผู้ปกครองเมืองต่างๆรวมทั้งราษฎรต่างก็ยินยอมพร้อมใจมาขุมนุมที่เมืองพูนาคาลงมติเป็นเอกฉันท์ให้
อุเกน วังชุก เป็นพระราชาธิบดีองค์ที่ 2 แห่งราชอาณาจักรภูฏาน
ในช่วงของรัชกาลที่ 1 จิกมี นัมเกล วังชุก และ รัชกาลที่
2 อุเกน วังชุก ภูฏานยังเป็นเมืองปิด ยังไม่มีการติดต่อทางการค้ากับต่างประเทศ
จะมีบ้างก็เป็นตัวแทนจากบริษัทอีสต์อินเดียเข้ามาเพื่อหาลู่ทางการค้าเท่านั้น
อุเกน วังชุก สวรรคตในปี
พ.ศ.2468 พระราชโอรสพระนามว่า จิกมี ดอร์จี วังชุก ขึ้นครองราชย์ต่อจากบิดาเป็นกษัตริย์พระองค์ที่
3 ในปี พ.ศ. 2495 สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 3 จิกมี ดอร์จี
วังชุก ทรงได้สมญานามว่า พระบิดาแห่งภูฏานยุคใหม่ พระองค์นำภูฏานเข้าสู่แผนพัฒนาแห่งชาติแห่งชาติ
ทรงเปิดรับวิทยาการสมัยใหม่
1.ส่งนักเรียนไปศึกษาประเทศ
2.พัฒนาด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
3.เริ่มมีการคมนาคมโดยรถยนต์
4.มีธรรมนูญการปกครองประเทศ
5.จัดตั้งสภาแห่งชาติ
6.เปิดรับการค้าและการช่วยเหลือจากต่างประเทศจากการนำประเทศเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
ในปี พ.ศ. 2514 และทรงพยายามปรับปรุงมาตรฐานชีวิตของชาวภูฏานตลอดมา
แต่พระราชาธิบดี จิกมี ดอร์จี วังชุก ก็มีพระชนมายุสั้น
พระองค์สวรรคตที่กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา เมื่อวันที่ 21
กรกฎาคม พ.ศ. 2515
จิกมี ซิงเย วังชุก มกุฎราชกุมาร เข้าสู่พระราชพิธีราชาภิเษกเมื่อวันที่
2 มิถุนายน พ.ศ. 2517 เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 4 ขณะมีพระชนมายุ
18 พรรษา ท่ามกลางอาคันตุกะผู้มีเกียรติจากนานาประเทศ ในท่ามกลางพระราชพิธีทางโหราศาสตร์
ศาสนศาสตร์ และจารีตประเพณีแต่โบราณกาล หลังจากขึ้นครองราชย์
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ได้รับการขนานนามว่าเป็นพระบิดาแห่งปวงชน
จากการที่ทรงมีนโยบายยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาประเทศ
สมเด็จพระราชาธิบดีที่ 4 เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระราชาธิบดีที่
3 จิกมี ดอร์จี วังชุก และพระราชินีอาชิ เยซาง โชเดน วังชุก
ประสูติเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 ได้รับการศึกษาทางด้านจารีตประเพณี
ทั้งทางราชอาณาจักรและทางศาสนา ทรงศึกษาต่อที่เซนต์โยเซฟคอลเลจ
เมืองดาร์จีลิง ประเทศอินเดีย เข้าศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ
จากนั้นกลับมาศึกษาที่สถานศึกษาอูเก็น วังชุก
สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏานได้ประกาศพระราโชบายในการปกครองประเทศ
โดยการวัดความสำเร็จของประเทศจากความสุขมวลรวมของประชาชาติ
(GNH-Gross National Happiness) เป็นสำคัญ
จากการสำรวจรายได้มวลรวม ชนชาวภูฏานจะมีระดับรายได้ อันดับ
191 ของโลก แต่จากการสำราจความสุขมวลรวมของประชาชนแต่ละประเทศในโลก
ซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ของอังกฤษ เปิดเผยเมื่อวันที่
28 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ปรากฏว่า ประเทศภูฏานอยู่อันดับ 8
ของชนชาติที่มีความสุขที่สุดในโลก โดยจัดอันดับดังนี้
1.ชาวเดนมาร์ก
2.สวิตเซอร์แลนด์
3.ออสเตรีย
4.ไอซ์แลนด์
5.บาฮามาส
6.ฟินแลนด์
7.สวีเดน
ในขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่
76 นักสำรวจได้ส่งแบบสอบถามในหัวข้อต่างๆมากกว่า 100 ข้อ
เพื่อสอบถามผู้คนจากทั่วโลก 8,000 คน โดยให้วัดความสุขจากชีวิตความเป็นอยู่
ระบบสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม ผลผลิตมวลรวม การศึกษา เป็นต้น
ควบคู่กับการบำเพ็ญเพียรตามหลักศาสนา นั่นคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน
ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวภูฏาน ภูฏานได้กำหนดลงลึกนโยบาย
4 ประการ คือ
1.เศรษฐกิจพอเพียงตามแบบอย่างพระเจ้าอยู่หัวของไทย
2.การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
3.การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม
4. การปกครองโดยหลักธรรมาภิบาล
ปี พ.ศ.2541 พระราชกฤษฎีกาผ่านการรับรองของสมัชชาแห่งชาติ
กำหนดไว้ว่า สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี ซิงเย วังชุกจะไม่ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าสณะรัฐบาลอีกต่อไป
มีหัวหน้ารัฐบาลคือ ประธานสภาคณะมนตรี ซึ่งคัดเลือกจากรัฐมนตรี
6 คน คือ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม
รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายใน
รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและการศึกษา โดยหมุนเวียนกันดำรงตำแหน่งประธานสภาคณะมนตรี
คราวละ 1 ปี ปฏิบัติหน้าที่เทียบเท่านายกรัฐมนตรี
ปี พ.ศ.2548 ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกเสร็จสิ้น
โดยศึกษารัฐธรรมนูญของไทยเป็นต้นแบบ เทียบเคียงกับรัฐธรรมนูญอีก
150 ประเทศ รัฐธรรมนูญภูฏานจะประกาศใช้ในปี พ.ศ.2551 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของพระมหากษัตริย์และอำนาจการบริหารประเทศของคณะรัฐมนตรีในระบอบรัฐสภา
ประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทน 75 คน วุฒิสภา 25 คน กำหนดให้มีพรรคการเมือง
2 พรรค กำหนดวาระการครองราชย์ของพระราชาธิบดีให้อยู่ในตำแหน่งจนถึงอายุ
65 พรรษา
ภูฏานได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตยเป็นครั้งแรกในปี
พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นวาระที่ภูฏานมีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ครบ
100 ปี เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นวันชาติภูฏาน
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ชิงเย นัมเกล วังชุก ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย
ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ และประกาศจะทรงสละราชบัลลังก์ให้กับมกุฎราชกุมาร
จิกมี เคเชอร์ นัมเกล วังชุก ในปี พ.ศ.2551
การประกาศสละราชบังลังก์ของพระราชาธิบดีจิกมี
นัมเกล วังชุก ได้สร้างความตกตะลึงให้กับชาวภูฏานเป็นอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตาม ชาวภูฏานยังคงเชื่อมั่นและศรัทธาในกษัตรยิ์
และมกุฏราชกุมาจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งได้ประกอบพระราชกรณียกิจร่วมกับพระราชาธิบดีมาโดยตลอด
อันที่จริงแล้ว ชาวภูฏานส่วนใหญ่ยังต้องการให้ภูฏานปกครองด้วยระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์ต่อไป
เนื่องจากเกรงว่าเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอาจก่อให้เกิดปัญหาความวุ่นวายและการฉ้อราษฎร์บังหลวงภายในประเทศ
เหมือนเช่นประเทศเพื่อนบ้าน
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในลักษณะค่อยเป็นไปของภูฏานดังกล่าว
เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ผู้นำประเทศเห็นว่า ภูฏานนั้นจำเป็นจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมโลกและปัญหาท้าทายใหม่ๆ
พร้อมทั้งสามารถตอบสนองกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
หลายประเทศเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยการปฏิวัติ
แต่การปฏิรูปการปกครองในภูฏานกลับเริ่มต้นจากเบื้องบน โดยเน้นไปทางจำกัดอำนาจตัวเอง
ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ให้อำนาจสมัชชา แห่งชาติในการบริหารประเทศ
โดยมีจำนวน 150 คน ดำรงตำแหน่ง 3 ปี มีอำนาจใช้คะแนนเสียง
2 ใน 3 ถอดถอนกษัตริย์ได้
ปัจจุบัน ราชอาณาจักรภูฏานมีองค์พระมหากษัตริย์เป็ประมุข
ภายใต้การปกครอง โดย สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย นัมเกล
วังชุก ทรงปกครองประเทศโดยมีคณะองคมนตรีเป็นที่ปรึกษา และสภาแห่งชาติที่เรียกว่า
ซงดู (Tsongdu) ทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย ประกอบด้วยสมาชิก
151 คน
สมัชชาแห่งชาตินั้น 105 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งระดับหมู่บ้าน
10 ที่นั่งมาจากตัวแทนศาสนา และ 55 ที่นั่ง มาจากการคัดเลือกของกษัตริย์
ทั้งหมดมีอำนาจในการรับรองคณะรัฐมนตรีที่กษัตริย์เป็นผู้เสนอชื่อหัวหน้าคณะรัฐมนตรีเป็นผู้นำรัฐบาล
คณะรัฐมนตรีมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี
นิตยสารไทม์ ได้ประกาศยกย่องให้สมเด็จพระราชาธิบดีซิงเย
วังชุก เป็น 1 ใน 100 ของบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกในปี
พ.ศ. 2549 ในฐานะที่ชีวิตและผลงานของพระองค์สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิตคนอื่นๆ
ได้อย่างยอดเยี่ยม ชาวภูฏานต่างยึดมั่นในพุทธศาสนาและวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
การขึ้นครองราชย์ในราชวงศ์ภูฏาน
ในรัชสมัยราชวงศ์วังชุก
ภายหลังการขึ้นครองราชย์บัลลังก์ภูฏาน กษัตริย์จิกมี ซิงเย
วังชุก ได้เข้าสู่พระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระราชินีพร้อมกัน
4 องค์ คือ
1.พระราชินี ดอร์จี วังโม วังชุก
2.พระราชินี เชอริง เพม วังชุก
3.พระราชินี เชอริง ยังเดน วังชุก
4.พระราชินี ซังเก โชเดน วังชุก
ทั้ง 4 พระองค์เป็นธิดาของ
ยับอูเกน ดอร์จี ผู้บิดา และยุมทิน เล โซเตน ผู้เป็นมารดา
ครอบครัวของพระองค์มีพี่น้องทั้งหมด 9 คน เป็นชาย 3 คน หญิง
6 คน ทั้งสี่ คนเป็นธิดาคนที่ 3 ถึง คนที่ 6 ตามลำดับ
อูเกน ดอร์จี ผู้บิดาเป็นนักธุรกิจใหญ่
มีกิจการค้าครอบคลุมไปทั้งภูฏาน และเป็นตัวแทนที่ชาวต่างประเทศจะมาค้าขายติดต่อขายด้วย
ยุคแรกจะเป็นการค้าเกลือในแบบแลกเปลี่ยนสินค้า ต่อมาเป็นกิจการเหมืองแร่
และการส่งออกธุรกิจส่งออกพืชผักผลไม้ดอกไม้เมืองหนาวที่กำลังได้ผลในภูฏาน
ชาวภูฏานจะไม่มีนามสกุล แต่เป็นที่รู้กันในหมู่บ้านหรือในชุมชนว่า
ชื่อนั้น ชื่อนี้ สืบสายมาจากที่ไหนบ้าง ราชินีทั้ง 4 องค์
มีคำลงท้ายว่า วังชุก ตามชื่อที่ 3 ของกษัตริย์ซึ่งเป็นเสมือนชื่อราชวงศ์
ในภูฏานจะถ้าชายมีภรรยา 2-4 คน หรือมากกว่านั้น ถือเป็นเรื่องปกติ
ในขณะเดียวกัน ถ้าฝ่ายหญิงก็จะสามารถมีสามี 2- 4 คนได้ และสามีหรือภรรยาส่วนที่เกินหนึ่งคนนั้น
ก็มักจะเป็นญาติพี่น้องของฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายนั่นเอง และทุกคนต่างอยู่ในครัวเรือนเดียวกันอย่างสามัคคียิ่ง
ตามราชประเพณีดั้งเดิม จึงถือว่า
ราชินีทั้ง 4 พระองค์มีฐานะเป็นราชินีเท่าเทียมกัน มีศักดิ์และสิทธิ์เหมือนกันทุกประการ
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์
นัมเกล วังชุก ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน
ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุกทรงได้รับการยกย่องจากชาวภูฏานรวมถึงชาวไทยส่วนใหญ่ว่าทรงมีพระจริยวัตรที่งดงาม
และเป็นที่รักยิ่งของประชาชนชาวภูฏาน
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์
นัมเกล วังซุก ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า
จากการที่ทรงวางพระองค์อย่างเป็นกันเองในหมู่ประชาชน จึงสร้างความประทับใจแก่พสกนิกรอย่างสูง
ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ต้องทรงรับพระราชภารกิจการบริหารประเทศ
เนื่องจากสมเด็จพระราชบิดาได้ทรงวางระบอบปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นมาอยู่
ก่อนแล้ว แต่พระองค์เองก็ยังทรงเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ในการสร้างเอกภาพและเสถียรภาพ
ในประเทศที่มีประชากรเพียง 650,000 คน โดยมุ่งเน้นด้านความสุขมวลรวมของประชากรภายในประเทศเป็นสำคัญ
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์
นัมเกล วังชุก ทรงฉลองพระองค์สีแดงทองที่เป็นชุดคลุมยาวปิดเข่าอันเรียกกันว่า
"โฆ" ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติของชายชาวภูฏาน
ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์ทองคำ พระพักตร์เคร่งขรึม แต่ก็ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยขณะทรงรับเครื่องถวายแด่สมเด็จพระราชาธิบดีองค์
ใหม่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยังทรงมีพระบรมราโชวาทแก่พสกนิกรหลายพันคนที่มาเข้าเฝ้าพระองค์ในตอนบ่าย
ของวันเดียวกันว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งใด"
"สิ่งที่สำคัญสำหรับข้าพเจ้าคือความหวังและความมุ่งมาดปรารถนาของ
ประชาชน และพระชนมายุอันยืนยาวและพระพลานามัยอันแข็งแรงสำหรับสมเด็จพระราชบิดา
จิกมี ซิงเย วังชุก ของข้าพเจ้า" "ในโอกาสอันพิเศษยิ่งนี้
ขอให้ร่วมกันสวดมนต์และขออธิษฐานขอให้แสงตะวันเฉิดฉันแห่งความสุขจะสาดส่อง
ลงมาที่ประเทศชาติของเราเสมอไป"
นอกจากประชาชนหลายพันคนที่มารวมตัวกันถวายพระพรแด่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี
เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งประกอบพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ยังมีแขกสำคัญที่ร่วมในพิธีดังกล่าวคือ
ประธานาธิบดีประติภา ปาติลแห่งอินเดีย และนางโซเนีย คานธี
นักการเมืองคนสำคัญของอินเดียพร้อมด้วยบุตรธิดา เนื่องจากครอบครัวคานธีนั้นมีความสนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์ภูฏาน
|