ประวัติความเป็นมา ปาดอง หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า กะเหรี่ยงคอยาว เป็นกะเหรี่ยงกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในรัฐคะยาประเทศเมียนมาร์ (พม่า) บริเวณที่ราบสูงตอนเหนือของแม่น้ำสาละวิน ทิศตะวันออกของเมียนมาร์ติดชายแดนภาคเหนือของประเทศไทย ประมาณปี พ.ศ. 2528-2529 บริษัทนำเที่ยวได้ติดต่อกับชาวกะเหรี่ยงในเขตเมียนมาร์ชื่อ ตูยีมู เพื่อนำปาดองเข้ามาอยู่ในเขตชายแดนไทยที่บ้านน้ำเพียงดิน เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกวิธีหนึ่ง โดยปาดองได้รับเงินค่าตอบแทนสำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่าย ปัจจุบันปาดองส่วนหนึ่งได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านในสอย เขตอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร เพราะบ้านน้ำเพียงดิน การคมนาคมไม่สะดวกต้องเดินทางด้วยเรือใช้เวลาประมาณ 1.30 - 2 ชั่วโมง นอกจากปาด่องที่บ้านในสอยแล้ว ก็ยังมีปาดองอีกหมู่บ้านหนึ่ง คือ บ้านห้วยเสือเฒ่า อยู่ติดกับหมู่บ้านกะเหรี่ยง ห่างจากตัวจังหวัดแม่ฮ่องสอนประมาณ 10 กิโลเมตร รถยนต์เข้าถึงหมู่บ้านได้ แต่ในฤดูฝนเดินทางลำบากเพราะต้องข้ามลำห้วยหลายแห่ง ปาดองบ้านห้วยเสือเฒ่า มีนักธุรกิจนำพวกปาดองมาปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่แบบดั้งเดิมของเขา ไม่ได้ทำมาหากินด้วยอาชีพการเกษตร เขาไม่สามารถบุกหักล้างถางป่าสำหรับการเพาะปลูกได้เพราะอาศัยอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ปาดองหมู่บ้านนี้จึงมีรายได้หลักจากการที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม นักธุรกิจผู้ชักจูงให้พวกเขามาอยู่นั้น ได้จ่ายเงินค่าเลี้ยงชีพให้ครอบครัวละ 1,500.-บาท/เดือน และยังมีสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยให้อีกด้วย นอกจากนี้ก็ซื้อข้าวให้กินทุกหลังคาเรือน ปาดองสามารถขายสินค้าของที่ระลึกรับของแจกและเงินค่าถ่ายรูปจากนักท่องเที่ยวได้ นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเข้าไปเยี่ยมชมในหมู่บ้านปาดองแห่งนี้จะต้องจ่ายให้แก่ผู้จัดการและเจ้าของกิจการ ซึ่งอยู่ประจำในหมู่บ้าน คนละ 250 บาท เดือนหนึ่ง ๆ เฉลี่ยมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมประมาณ 1,000 คน ชาวปาดองถือว่าเป็นผู้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศชั่วคราว หญิงปาดองที่ถูกบันทึกภาพเผยแพร่ทั่วไปจะได้แก่ มานั่ง มะซอ โมเลาะ โมเปาะ และมะไป่ ลักษณะการแต่งกาย ผู้ชายเผ่าปาดอง แต่งกายเหมือนเผ่าอื่น ๆ คือ นุ่งกางเกงขาก๊วยแบบจีน เลื้อตัวสั้นศีรษะโพกผ้า ถ้าไปงานก็สวมกำไลข้อเท้าที่ทำจากลูกปัดสีขาว น่องตอนบนจะใส่กำไลไม้ไผ่หรือหวาย ผู้หญิงหญิงปาดอง มีเอกลักษณ์การแต่งกายที่เด่นแตกต่างจากหญิงชาวเขาเผ่าอื่น ๆ จนกลายเป็นชื่อเรียกเผ่าพันธุ์ ตามลักษณะลำคอที่ยาวเนื่องจากรอบคอสวมใส่ห่วงทองเหลืองซ้อนกันหลายห่วง ตั้งแต่ไหปลาร้าจรดคาง จนทำให้ลำคอยาวผิดปกติ และทรงผมด้านหน้าจะไว้หน้าม้า ด้านหลังจะมัดเป็นมวยแล้วใช้ผ้าสีเขียว สีชมพูคาดทับทิ้งชายห้อยระบ่า แขนจะใส่กำไลที่ทำจากอลูมีเนียมข้างละ 3-5 วง และที่ขาบริเวณใต้หัวเข่าจะสวมห่างทองเหลืองไว้อีกข้างละประมาณ 10-15 วง รองด้วยผ้าสีชมพูและจากน่องลงมาถึงข้อเท้าจะพันด้ายผ้าสีน้ำเงิน เสื้อที่สวมใส่เป็นสีขาวคอวีทรงกระสอบ ตัวยาวถึงสะโพกล่าง ผ้าถุงสีกรมท่าสั้นแค่หัวเข่า มีลวดลายเป็นเส้นสีชมพูรอบชายผ้าถุงแคบ และนุ่งพับทบกันด้านหน้า ประเทศเมียนมาร์มีชนกลุ่มน้อยหลายเผ่าพันธุ์ เครื่องแต่งกายของหญิงจึงเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ ในการบอกความแตกต่างระหว่างเผ่าและเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นข้อห้ามของแต่ละเผ่า บางเผ่ามีประเพณีให้หญิงสักตามตัวมากจนไม่เป็นที่สนใจของเพศตรงข้ามต่างเผ่า ตำนานการใส่ห่วงทองเหลืองที่คอของหญิงปาดอง มีนิยายปรัมปรา กล่าวถึงการใส่ห่วงคอทองเหลืองของปาดองหลายเรื่อง ตำนานที่ 1 มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่าในอดีตกาล ภูติผีและวิญญาณไม่พอใจพวกปาดอง จึงส่งเสือมากัดกินโดยเฉพาะผู้หญิง บรรพบุรุษปาดองเกรงว่าถ้าผู้หญิงตายหมดเผ่าพันธุ์ตนจะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ จึงให้ผู้หญิงใส่ปลอกคอทองเหลืองเพื่อป้องกันไม่ให้เสือกัดคอระหว่างเดินทาง ตำนานที่ 2 เล่าว่าพวกปาดองมีแม่เป็นมังกรและหงส์จึงต้องใส่ห่วงคอเพื่อทำให้คอยาวระหงส่ายไปมา สง่างามเหมือนคอหงส์และมังกร นอกจากนั้นยังมีเหตุผลทางด้านประวัติศาสตร์ กล่าวไว้ว่าในอดีตปาดองหรือแลเคอเป็นนักรบผู้กล้าหาญมีความกตัญญูรักษาสัจจะวาจาเท่าชีวิต และเคยมีอำนาจเหนือเมียนมาร์ได้ปกครองประเทศเมียนมาร์มาก่อน แต่ถูกเมี่ยนมาร์รวมกำลังกับชนเผ่าบังการี ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของบังคลาเทศ ทำสงครามขับไล่ปาดองจนต้องอพยพหลบหนีเพราะพ่ายต่อการรบ และได้นำราชธิดาผู้นำเผ่า ซึ่งอายุได้เพียง 9 ปี หลบหนีมาด้วยและราชธิดาได้นำต้นไม้ที่แลเคอเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า ต้นปาดองมีสีเหลืองอร่ามเหมือนทอง เมื่อมาถึงชัยภูมิที่เหมาะสมและพ้นอันตรายจากการติดตามของข้าศึกแล้วจึงหยุดไพร่พล ราชธิดาก็เอาต้นปาดองนั้นพันคอไว้และประกาศว่าจะเอาต้นปาดองออกจากคอเมื่อแลเคอกลับไปมีอำนาจปกครองเมียนมาร์ นับแต่นั้นมาพวกแลเคอผู้รักษาวาจาสัตย์ก็จะนำเด็กผู้หญิงที่มีอายุ 8 ขวบมาพันคอด้วยห่วงทองเหลืองที่มีความหนาประมาณ 1/2 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร โดยมีหมอผีประจำเผ่าเป็นผู้ทำพิธี โดยท่องมนต์และกลอนเตือนใจให้สำนึกว่าต้องพยายามกู้ชาติชิงแผ่นดินคืน การใส่ปลอกคอทองเหลือง การใส่ปลอกคอทองเหลืองนั้นเริ่มเมื่อเด็กหญิงปาดองอายุได้ 5-9 ปี หมอผีประจำหมู่บ้านจะทำพิธีเสี่ยงทายกระดุกไก่เพื่อหาฤกษ์ แต่เดิมมาจะใส่เฉพาะเด็กหญิงที่เกิดวันพุธตรงกับวันเพ็ญเท่านั้นและต้องเป็นเลือดปาดองแท้ ๆ จะเป็นลูกผสมต่างเผ่าพันธุ์ไม่ได้ การปฏิเสธใส่ห่วงคอจะถูกสังคมรังเกียจทำให้หญิงปาดองต้องอับอาย บางรายถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านทำให้เกิดความว้าเหว่ กลัดกลุ้มจนล้มป่วยและในที่สุดก็ตายหรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย ปัจจุบันหญิงปาดองที่ใส่ห่วงคอทองเหลืองไม่จำเป็นต้องเลือกเฉพาะที่เกิดวันเพ็ญ ที่ตรงกับวันพุธแล้วต่างหันมานิยมใส่กันหมด โดยใช้ทองเหลืองที่นำมาจากเมืองเบงลองประเทศเมียนมาร์ น้ำหนักเมื่อแรกใส่ประมาณ 2.5 กิโลกรัม นำทองเหลืองมาดัดเป็นเส้นกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1/3 นิ้ว ไส้ตัน ก่อนใส่ต้องอังไฟให้อ่อน แล้วนำมาขดรอบคอเป็นวง ๆ เหมือนลวดสปริง ประมาณ 9 วง ผู้ใส่ห่วงจะต้องมีความชำนาญและมีฝีมือ มิฉะนั้นห่วงจะไม่สวย และผู้ถูกใส่ห่วงจะเจ็บคอ ปกติทั่วไปหญิงปาดองจะมีห่วงคอ 2 ชุด ชุดแรกใส่เป็นฐานบนไหล่มี 5 วง ต่อจากนั้นขึ้นไปบนคอจะมีอีกประมาณ 20 วง ห่วงชุดนี้ แยกออกจากกันแต่มีโลหะยึดไว้ด้านหลังคอ และวงบนสุดจะมีหมอนใบเล็ก ๆ ใส่ค้ำคางไว้กันการเสียดสี การเพิ่มจำนวนห่วงที่คอ จะเปลี่ยนขนาดทุก 4 ปี ในชีวิตของหญิงปาดองจะเปลี่ยนทั้งหมด 9 ครั้ง ครั้งสุดท้ายที่เปลี่ยนขนาดหญิงปาดองจะมีอายุประมาณ 45 ปี จำนวนห่วงมากที่สุด 32 ห่วง น้ำหนักประมาณ 13-15 กิโลกรัม ความยาวสูงสุดประมาณ 35 เซนติเมตร จำนวนห่วงที่นับได้จากคอหญิงปาดองที่บ้านในสอย ประมาณ 22 ห่วง ลำคอยาว 9 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 7 กิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 6,000 บาท หญิงปาดองจะใส่ห่วงนี้จนกว่าจะตาย การถอดห่วงคอของหญิงปาดองนอกจากเพื่อเปลี่ยนขนาดแล้ว ยังถอดในโอกาสอื่น ๆ อีกเช่น เมื่อตั้งท้องเตรียมจะคลอดลูกเมื่อคลอดลูกเสร็จแล้วก็จะใส่ห่วงคอตามเดิม ส่วนการถอดห่วงคอที่เป็นการลงโทษนั้นกระทำเมื่อมีการทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องชู้สาว จะถูกถอดห่วงคอออก ทำให้คอที่ยาวโงนเงนไปมาไม่สามารถรับน้ำหนักได้ คอจะพับหายใจขัด เกิดความอายและป่วยตายในที่สุด มีผู้สันนิษฐานว่าถ้าพิจารณาทางสรีระวิทยาการใส่ห่วงนานเป็นปี ๆ กล้ามเนื้อที่คออาจตีบหรือตาย แต่ผู้ที่ถอดห่วงออกจะไม่เป็นอันตรายเพราะร้างกายได้พัฒนาสร้างกล้ามเนื้อใหม่ที่แข็งแรงกว่าขึ้นมา ถ้าถอดห่วงแล้วสวมที่พยุงคอไว้ระยะหนึ่งจนกว่ากล้ามเนื้อใหม่จะพัฒนาขึ้นมาคอก็จะมีขนาดเท่าคนปกติ นายแพทย์เกวิเซียน ได้ถ่ายเอกซเรย์หญิงปาดองที่โรงพยาบาลย่างกุ้งพบว่าคอไม่ได้ยืดยาว แต่เป็นช่วงหน้าอกที่ถูกผลักดันลงมาให้ทรุดลงมาเมื่อเพิ่มขนาดห่วงกระดุกไหปลาร้ารวมทั้งซี่โครงก็จะทรุดตัวลงทำให้ดูคอยาว เพราะน้ำหนักจะกดทับกระดุกซี่โครงซี่ที่ 1 และ 2 และกระดุกไหปลาร้าโค้งงอลง ปัจจุบันหญิงปาดองที่ถือศาสนาคริสต์จะไม่ใส่ห่วงที่คอทำให้คล่องตัวต่อการทำมาหากินในชีวิตประจำวันมากขึ้น ศาสนาและความเชื่อ ปาดองที่นับถือพุทธจะควบคู่ไปกับการเชื่อเรื่องผีและสิ่งที่เหนือธรรมชาติทั้งปวง พวกเขาถือว่าหากทำให้ผีไม่พอใจจะทำให้เกิดภัยอันตรายมาสู่คนในบ้านเรือนและชุมชน ดังนั้นจึงต้องมีการตั้งศาลที่บ้าน ที่ทุ่งนา ริมลำห้วย ในป่า เมื่อจะประกอบพิธีกรรมจะต้องมีการเสี่ยงทายด้วยกระดูกไก่ เพื่อหาฤกษ์ เช่น การปลูกบ้าน ถางไร่ หว่านเมล็ดพันธุ์ การเก็บเกี่ยว การล่าสัตว์ ถ้ามีการเจ็บป่วยเชื่อว่าผีและวิญญาณมาเอาขวัญผู้ป่วยไป ต้องให้หมอผี เป็นผู้ติดต่อสอบถามว่าต้องการให้เซ่นด้วยอะไร เช่น หมู ไก่ ข้าว สุรา บางครั้งถ้ามีโรคระบาดป่วยกันเกือบทั้งหมู่บ้านพวกเขาต้องจัดพิธีกรรมบวงสรวงผีและวิญญาณเพื่อชำระล้างหมู่บ้าน
Hotline 0-936468915, 0-823656241 ใบอนุญาตเลขที่ 11/05028