จังหวัดระนอง เป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศพม่าและเป็นจังหวัดแรกของภาคใต้ที่อยู่ฝั่งทะเลอันดามันอยู่ห่างจากกรุงเทพฯโดยทางหลวงหมายเลข
4 (ถนนเพชรเกษม ระยะทาง 568 กม.มีพื้นที่ 3,426 ตร.กม. โดยรวมเกาะใหญ่น้อยในทะเลอันดามัน
ซึ่งอยู่ในเขตปกครองจำนวน 62 เกาะ) มีฝนตกมากที่สุดในประเทศและคอคอดที่แคบที่สุดของแหลมมลายู
คือ คอคอดกระ แบ่งการปกครองออกเป็น 4 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ
คือ อำเภอเมือง อำเภอกระบุรี อำเภอละอุ่น อำเภอกะเปอร์ และกิ่งอำเภอสุขสำราญ
เมืองดีบุก ระนองมีทรัพยากรธรรมชาติใต้ดินที่มีชื่อเรียกกันในสมัยโบราณว่าตะกั่วดำ
หรือ ดีบุกในปัจจุบันเป็นจำนวนมาก ในอดีตนับตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่
3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ระนองจึงมีความสำคัญในฐานะเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ
เนื่องจากรายได้หลักของหลวงที่นำมาพัฒนาประเทศ มาจากการผูกขาดส่งอากรดีบุกของระนอง
และเป็นเมืองแรกที่มีนายเหมืองเป็นนายอากรมาแต่โบราณ
เมืองชายแดน การที่ไทยต้องเสียดินแดนเมืองมะริด
รวมทั้งเมืองมะลิวัลย์แก่อังกฤษ และได้มีการปักปันเขตแดนไทย
โดยใช้แม่น้ำกระบุรีเป็นเส้นกั้นพรมแดน ในปี พ.ศ. 2442 มีผลให้เมืองระนองและเมืองตระ
ซึ่งมีฐานะเป็นอำเภอในการปกครองของจังหวัดระนองมีความสำคัญในฐานะเป็นเมืองชายแดน
มีอาณาเขตติดต่อกับเมืองขึ้นของอังกฤษทางด้านทะเลตะวันตกและมีความสำคัญในฐานะเป็นศูนย์รวมของการไปมาหาสู่
และซื้อขายสินค้าระหว่างไทยกับพม่าซึ่งเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 พ.ศ. 2485 กองทัพญี่ปุ่นได้เข้ามาตั้งฐานทัพที่บริเวณเขาฝาชี
อำเภอละอุ่น ทั้งนี้เนื่องจากระนองเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่จะขนถ่ายกำลังพลและเสบียงไปยึดประเทศพม่า
ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ อีกทั้งเขตอำเภอละอุ่นมีจุดที่สามารถเข้าประเทศพม่าและมองเห็นศัตรูได้ทั้งทางบก
ทางทะเลและอากาศ เมื่อพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ ไทยได้ติดต่อค้าขายกับพม่าด้านชายแดนจังหวัดระนอง
ซึ่งมีผลให้เศรษฐกิจของระนองก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบัน
เมืองคอคอดกระ พื้นที่บริเวณคอคอดกระ
เป็นผืนแผ่นดินส่วนที่กิ่ว หรือแคบที่สุดในแหลมมลายู อยู่ในเขตอำเภอกระบุรี
จังหวัดระนอง กว้าง 9 กิโลเมตร พื้นที่ด้านตะวันตกของบริเวณคอคอดกระ
ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของเมืองตระมาแต่เดิม มีภูเขาสลับซับซ้อนมีทางลัดผ่านทางช่องเขาเพียงสายเดียว
ในสมัยโบราณคอคอดกระเป็นเส้นทางสำคัญทางสายเดียวที่พม่าใช้เป็นเส้นทางเดินทัพยกมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ฝั่งทะเลตะวันออก
เมื่อฝรั่งเศสคิดจะขุดครองตระ จากเมืองตระไปออกชุมพรเพื่อความรวดเร้วในการเดินเรือจากยุโรปไปเมืองจีน
ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คอคอดกระจึงมีความสำคัญมากขึ้น
หากสามารถขุดคลองได้สำเร็จเรือเดินทะเลจากยุโรปจะผ่านคลองไปเมืองจีน
โดยไม่ต้องอ้อมแหลมมลายูผลประโยชน์ทางการค้าของอังกฤษทางเมืองปีนังและสิงคโปร์
และความจำเป็นทางด้านการทหารของอังกฤษ คงมีผลให้ไทยต้องเสียดินแดนทางแหลมมลายู
ประกอบกับการขุดคลองจำเป็นต้องขุดแม่น้ำกระบุรี ซึ่งเป็นเส้นกั้นพรมแดนไทยกับพม่าของอังกฤษให้กว้างลึกข้าไปในดินแดนที่อยู่ในอำนาจของอังกฤษด้วย
เมื่ออังกฤษไม่ยอม ความคิดที่จะขุดคลองกระจึงล้มเลิกไป การขุดคลอง
ณ บริเวณคอคอดกระ มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูง แต่กระทบต่อความมั่นคงของชาติทางด้านการทหารอย่างไรก็ตามคอคอดกระจึงยังอยู่ในความสนใจ
ทั้งทางราชการและประชาชนมาจนปัจจุบัน
เมืองเสด็จประทับแรม พระมหากษัตริย์
4 พระองค์ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับแรมจังหวัดระนอง
ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเลียบมณฑลปักษ์ใต้ผ่านเมืองตระไปประทับแรม
ณ พระที่นั่งรัตนรังสรรค์ บริเวณเขานิเวศน์คีรี เมืองระนอง
3 ราตรี เมื่อปี พ.ศ. 2433 ซึ่งเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดในปัจจุบันและได้พระราชทานนามถนนในเทศบาลเมืองระนอง
ชื่อคล้องจองกันรวม 10 สาย ได้แก่ ท่าเมือง เรืองราษฎร์
ชาติเฉลิม เพิ่มผล ชลระอุ ลุวัง กำลังทรัพย์ ดับคดี ทวีสินค้า
ผาดาด โดยพระราชทานนามตามการใช้ประโยชน์ เช่น ถนนชลระอุ
เป็นเส้นทางไปถึงบ่อน้ำแร่ร้อน , ถนนดับคดี เป็นเส้นทางไปยังศาลชำระคดีความ
ฯลฯ และต่อมาเมื่อมีการสร้างถนนใหม่เพิ่ม ก็ได้ตั้งชื่อให้คล้องจองกับชื่อถนนที่พระราชทานนามให้ว่า
ราษฎร์พาณิชย์ กิจผดุง บำรุงสถาน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเลียบมณฑลปักษ์ใต้ฝั่งตะวันตก
ประทับแรมจังหวัดระนองเมื่อปี พ.ศ. 2460
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองระนอง
และประทับแรมจังหวัดระนอง 2 ราตรี เมื่อปี พ.ศ. 2471
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรจังหวัดระนอง ประทับแรม
ณ จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2502
เมืองปกครองแบบพิเศษแหล่งหล่อหลอมนักปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้
นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ระนองปกครองเมืองโดยใช้อำนาจเจ้าเมืองรวมกับอำนาจของเจ้าภาษีอากรเรียกว่า
ระบบเหมาเมือง เป็นแห่งแรกของประเทศ ในจำนวนไม่กี่เมือง
และเป็นเมืองเดียวในประเทศไทยที่แต่งตั้งตำแหน่งเจ้าเมือง
, ผู้ว่าราชการเมือง โดยการสืบทอดทายาท เป็นเวลาเกือบ 100
ปี นอกจากนี้ลูกหลานของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง)ได้รับราชการเป็นผู้ว่าราชการเมืองและสมุหเทศาภิบาลมณฑลตามหัวเมืองต่างๆของภาคใต้
เช่น ชุมพร หลังสวน ตรัง ภูเก็ตสุราษฎร์ธานี โดยท่านเหล่านี้เป็นนักปกครองที่มีแนวคิดกว้างไกล
เนื่องจากได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ เช่น จีน อินเดีย
ปีนัง ฯลฯ ทำให้หัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตกมีความจริญรุดหน้ามาจนปัจจุบัน
ระบบการปกครองของตระกูล ณ ระนอง ได้รับความสนใจจาก นักวิชาการต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
โดย Dr. JENIFER W. CUSHMAN จาก OXFORD UNIVERSITY ได้เขียนพ็อคเก็ตบุคเรื่อง
FAMILY AND STATE ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจการปกครองช่วงปี
ค.ศ. 1797-1932 กล่าวถึง ตระกูล ณ ระนอง โดยเฉพาะ ท่านคอซู้เจียง
ที่ไม่ได้รับการศึกษาแต่สามารถเป็นทั้งนักปกครองและนักเศรษฐกิจ
ทำให้ระนองเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ และถือว่า ท่านคอซู้เจียง
เป็นบุคคลสำคัญของเอเชียในยุคนั้นหนังสือดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในปี
ค.ศ. 1991 ปัจจุบันมีจำหน่ายในต่างประเทศทั่วโลก |