|
ข้อมูลท่ิองเที่ยวประเทศตุรกี |
เมืองคอนย่า พิพิธภัณฑ์เมฟลานา เมืองอังการา |
บันทึกการเดินทาง...เที่ยวตุรกี... |
เมืองคอนย่า พิพิธภัณฑ์เมฟลานา เมืองอังการา |
เมืองคอนย่า |
เมืองคอนย่า |
เมืองคอนย่า |
พิพิธภัณฑ์เมฟลานา คอนย่า |
พิพิธภัณฑ์เมฟลานา
เมืองคอนย่า |
|
|
พิพิธภัณฑ์เมฟลานา
เมืองคอนย่า
|
|
|
เมืองคอนย่า (Konya)
คอนยา เป็นเมืองที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล
1,016 เมตร นิยมใช้เป็นจุดพักของการเดินทาง ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเซลจุกเติร์ก
(ค.ศ. 1077-1118) ซึ่งเป็นาอาณาจักรแห่งแรกของชาวเติร์กในตุรกี
หรือที่ยุคนั้นเรียกอนาโตเลีย เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ
คนส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา มีการปลูกฝิ่นและผลไม้อร่อย เมืองนี้มีประวัติที่เก่าแก่มาก
ชาทัลเฮอยุกที่นับเป็นหนึ่งในอารายายธรรมแรกของโลก ก็ห่างออกไปทางทิศใต้เพียว
50 กิโลเมตร คอนยาในปัจจุบันตัดถนนโค้งขนาน กับกำแพงเมือง
ความสำคัญทางศาสนาของคอนยาคือ เป็นที่ตั้งของสุสานเมฟลานา
ผู้รอเริ่มการทำสมาธิแบบเป็นวงกลม ในแต่ละปีจึงมีผู้แสวงบุญมาเยือนที่นี่กันเป็นจำนวนมาก
เมืองคอนยามีการเปลี่ยนแปลงชื่อเมืองหลายครั้ง เมื่อเปลี่ยนผู้ครอบครอง
ฮิตไตต์เรียกเมืองนี้ว่า คูวันนา (Kuwanna) ฟรีเจียนเรียกว่า
โควาเนีย (Kowania) โรมันเรียกว่า อิโคนิอุม (Icoium) ซึ่งสาวกของนักบุญเปาโลหรือปอลมาเยี่ยมเยียนที่นี่อยู่หลายครั้ง
แต่กลับไม่มีคนหันมาเป็นคริสเตยนมากเท่าไหรนัก
ยุคทองของคอนยาอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 20 เมื่อครั้งเป็นนครหลวงของจักรวรรดิเซลจุก
คอนยารุ่งเรืองมากในสมัยสุลต่านอาเลดดิน เคย์โคบาท มีการสร้างสิ่งก่อสร้างมากมายด้วยสถาปัตยกรรมแบบตุรกี
แต่ได้รับอิทธิพลจากเปอร์เซียและไบแชนไทน์ด้วย
สถาปัตยกรรมแบบเซลจุก ภายนอกดูเรียบง่าย ประตูทางเข้าใหญ่โตและสง่างาม
บางแห่งหรูหราตามแบบบารอก การตกแต่งภายในสวยงามและกลมกลืน
มักใช้กระเบื้องสีขาวกับฟ้า อาจใช้กระเบื้องสีอื่นซึ่งไม่ใช่สีแดง
เพราะกระเบื้องสีแดงเพิ่งเริ่มใช้ในยุคออตโตมัน
ชาวเติร์กที่เป็นคนส่วนใหญ่ของตุรกีในปัจจุบันมีพื้นเพดั้งเดิมเป็นชนเผ่าเร่ร่อนแบ่งเป็นหลายเผ่าด้วยกัน
เดิมทีอาศัยอยู่แถบเทือกเขาอัลไตในเอเซียกลาง กระทั่งในราวศตวรรษที่
6 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและการเมือง ทำให้ชาวเติร์กต้องระหกระแหงเร่ร่อนอพยพไปอยู่ในดินแดนต่างๆ
ในละแวกใกล้เคียง
ชาวเติร์กเผ่าหนึ่งคือเผ่าเซลจุก เลือกอพยพมายังพื้นที่อนาโตเลีย
และได้พยายามเข้าตีเมืองอิซนิก (Iznik) ที่อยู่ใกล้ๆ กับกรุงคอนสแตนติโนเปิล
(อิสตันบูลในปัจจุบัน) แห่งอาณาจักรไบแชนไทน์ เพื่อยึดเป็นเมืองหลวง
แต่ว่าพวกไบแชนไทน์และทหารครูเสดสู้ยิบตา จนพวกเซลจุกต้องถอยไปปักหลักอยู่ในอนาโตเลียตอนกลาง
พร้อมกับสถาปนาอาณาจักรแห่งแรกของตนขึ้น โดยเลือกเอาเมืองคอนยาเป็นราชธานี
เนื่องจากมีภูมิประเทศส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับที่ที่ชาวเซลจุกเคยอาศัยอยู่
อาณาจักรเซลจุกแม้จะล่มสลายไปตามสภาพการณ์ แต่ว่าเมืองคอนยา
อดีตราชธานียังคงอยู่เรื่อยมานับจากอดีตถึงปัจจุบัน ในฐานะเมืองที่มีความสำคัญเมืองหนึ่ง
ในศาสนาอิสลาม เพราะเป็นศูนย์กลางของนิกาย เมฟเลวี (Mevlevi)
หรือสำนักลมวนอันเป็นที่เคารพนับถือกันมากในหมู่ปัญญาชนและชนชั้นปกครองในยุคนั้น
นิกายเมฟเลวี ถือกำเนิดจากการก่อตั้งของเมฟลานา เจลาเลดดิน
รูบี (ค.ศ.1207-1273) ยอดกวีแห่งตุรกีใน ค.ศ. 1231 เมฟลานาเกิดในอัฟกานิสถาน
ก่อนที่สุลต่านเซลจุกได้เชื้อเชิญให้เข้ามายังคอนยาเพื่อเขียนบทกวีลี้ลับเป็นภาษาเปอร์เซี
เหล่าสาวกของเมฟลานาเชื่อว่าเขาคือผู้วิเศษแห่งศาสนาอิสลาม
เพราะสามารถชักชวนผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามได้เป็นจำนวนมาก
ทุกๆ ปีในช่วงเดือนธันวาคม สาวกของสำนักลมวนจะจัดพิธี ซีมา
(Sema) หรือพิธีเฉลิมฉลองเพื่อรำลึกถึงเมฟลานาผู้ก่อตั้งนิกาย
ด้วยการเต้นรำ (Sema Dance) ในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเหล่าสาวกสำนักลมวนจะสวมชุดกระโปรงยาวบานสีขาว
สวมหมวกทรงกระบอก ออกมาร่ายรำหมุนตัวไปรอบๆ ให้เข้ากับจังหวะกลองและเสียงดนตรี
ท่วงทำนองลี้ลับ อันเป็นการแสดงออกซึ่งความตายและการรวมเข้ากันเป็นหนึ่งกับพระอัลเลาะห์
ซึ่งทุกวันนี้ สำนักลมวนกลายเป็นหนึ่งในตำนานสำคัญของศาสนาอิสลาม
ที่ยังทิ้งมรดกสำคัญไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้กัน |
พิพิธภัณฑ์เมฟลานา
เมืองคอนย่า
|
|
|
พิพิธภัณฑ์เมฟลานา (Mevlana Museum) เมืองคอนยา
เดิมเป็นสถานที่นักบวชในศาสนาอิสลามทำสมาธิ (Whirling Dervishes)
โดยการเดินหมุนเป็นวงกลมขณะฟังเสียงขลุ่ย ก่อนไปทำการหมุนต้องอดอาหาร
มีการเข้าห้องฝึกทรมานร่างกายเป็นเวลา 1,0001 คืน ก่อนที่จะไปหมุนได้
ผู้ที่มีสมาธิมากตัวจะลอยขึ้นเมื่อหมุนไปช่วงเวลาหนึ่ง
ส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เป็นสุสานของเมฟานา เจลาเลดดิน ภายนอกเป็นหอทรงกระบอกปลายแหลมสีเขียวสดใส
ภายในประดับประดาฝาผนังแบบมุสลิม โดยใช้สีมากมายตระการตา ซึ่งหาชมได้ยาก
และยังเป็นสุสานสำหรับผู้ติดตาม สานุศิษย์ บิดา และบุตรของเมฟลานาด้วย
เมฟลานา เจลาเลดดิน รูมี (Mevlana Celaleddin Rumi) เกิดที่ประเทศอัฟกานิสถาน
เมื่อปี ค.ศ. 1207 บิดาเป็นนักปราชญ์ ท่านเดินทางไปทั่ว สุดท้ายจึงมาตั้งรกรากอยู่ตุรกี
เมฟลานาได้เข้ารับตำแหน่งอาจารย์ทางปรัชญาประจำราชสำนักแห่งกษัตริย์อาเลดดิน
เคย์โคบาท และได้รู้จักกับนักบวชในศาสนาอิสลามคือ เชมซี เทบริซลิ
(Schemsi Tebrizli) ทั้งสองร่วมกันคิดวิธีทำสมาธิโดยเดินหมุนเป็นวงกลม
เมฟลานา ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ.1271
และทุกปีในวันนี้จะมีการเฉลิมฉลองที่สุสานเมฟลานา แนวคิดของเมฟลานานั้น
เชื่อมั่นในความอดทน ความรัก การเคารพในเสรีภาพของผู้อื่น
และสนับสนุนครอบครัวผัวเดียวเมียเดียว
พิพิธภัณฑ์ Koyunoglu Muze จัดแสดงวัตถุที่มีคนบริจาคมา
อาทิ สัตว์สตัฟฟ์ อาวุธ เครื่องประดับ แก้ว ภาพถ่ายเมืองคอนยา
และนาฬิกา
สุลต่านฮานี (Sultanhani) เป็นที่พักกองคาราวานในอดีต ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านสุลต่านฮานี
สร่างโดยสุลต่านอาเลดดิน เคย์โคบาท ราวศตวรรษที่ 13 ประตูทำด้วยหินอ่อนสกัดลวดลายโบราณ
ตรงกลางเป็นสุเหร่า ส่วนบริเวณอื่นจัดเป็นครัว ห้องน้ำ และห้องนอน
ชาทัลเฮอยุก (Catal Hoyuk) ห่างจากเมืองคอนย่าไปทางตะวันออกเฉียงใต้
50 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคหิน ที่อาศัยใน
6,800-5,500 ปีก่อนคริสกาล เมื่อปี ค.ศ.1958 นักโบราณคดีชาวอังกฤษได้ค้นพบบ้านที่ทำจากดินเหนียวและของใช้ในบ้าน
ตลอดจนรูปปั้นเทพธิดาพุงพลุ้ย
สุเหร่าอาเลดดิน (Alaaddin Cami หรือ Merkez) เริ่มสร้างโดยสุลต่านเมสุท
(Mesut) แล้วเสร็จในสมัยสุลต่านอาเลดดิน เคย์โคบาท หลังคาเป็นไม้ซุงและมีเสารองรับ
42 ต้น ด้านขวาเป็นที่ฝังพระศพสุลต่านแห่งเซลจุก 8 พระองค์
และพระบรมศานุวงศ์ |
พิพิธภัณฑ์เมฟลานา
เมืองคอนย่า
|
|
|
|
เมืองอังการา (Ankara หรือ Enguru)
ราว 1,200 ปีก่อนคริสตกาล ฮิตไตต์ตั้งชื่อเมืองเล็กที่มั่งคั่งเมืองหนึ่งว่า
อังคูวาซ (Ankuwash) ความมั่งคั่งของเมืองนี้เกิดจากทะเลที่เป็นกึ่งกลางของเส้นทางการค้า
ทั้งทิศเหนือจรดใต้และตะวันออกถึงตะวันตก จากนั้นเมืองได้ตกเป็นของพวกฟรีเจียนและอเล็กซานเดอร์มหาราช
หลังจากที่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชสวรรคต เมืองตกอยู่ใต้อำนาจของเซลูชิด
(Seleucids) ก่อนจะตกอยู่ใต้อำนาจของชาวกาลาเทียนใน 250 ปีก่อนคริสตกาล
แล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของโรมันในชื่อ อังไครา (Ankyra) ยุคที่โรมันเรืองอำนาจมีการก่อสร้างวิหารออกุสตุส
โรงอาบน้ำโรมัน และเสาหินจูเลียน
เมื่อปี ค.ศ. 314 และ 538 ในยุคไบแชนไทน์ อังการากลายเป็นศูนย์กลาง
มีการตั้งสภาจนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 6-7 อำนาจการปกครองเมืองได้เปลี่ยนจากเปอร์เซียมาเป็นอาหรับ
จากนั้น ทหารครูเสดเข้าครองเมือง ปี ค.ศ. 1701 เมืองตกอยู่ใต้การปกครองของพวกเซลจุก
และออตโตมันเติร์กในปี ค.ศ. 1360 อังการา เป็นเพียงเมืองเล็กๆ
ซึ่งห่างไกลความเจริญภายใต้การปกครองของสุลต่านออตโตมัน
เมื่อวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1920 อตาเติร์กเปิดประชุมสภาแห่งชาติที่อังการา
และสถาปนาอังการาเป็นนครหลวงของตุรกีตั้งแต่ 14 ตุลาคม ค.ศ.1923
แม้อังการาจะไม่ติดทะเลและแม่น้ำสายสำคัญ แต่มีความสำคัญเพราะเป็นศูนย์กลางของอนาโตเลีย
อตาเติร์กได้วางผังเมืองให้เป็นถนนยาว มีสวนสาธารณะทีป่ระกอบด้วยทะเลสาบเทียมและส่วนที่เป็นย่านที่พักอาศัยภายในเวลาไม่ถึง
10 ปี (ค.ศ.1919-1927) อังการาพลิกโฉมจากหมู่บ้านเล็กๆ กลายมาเป็นมหานคร
เป็นศูนย์กลางระบบบริหารและการศึกษา รวมทั้งสถาปันการปกครอง
เมืองอังการาในฤดูร้อน มีอุณหภูมิสูงถึง 23 องศาเซลเซียส
และฤดูหนาวอาจเย็นถึง -8 องศาเซลเซียส แต่เดิม อังการใช้ถ่านหินเพื่อทำความร้อนในฤดูหนนาว
จึงก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นควันและเขม่า ปัจจุบันจึงต้องเปลี่ยนมาใช้ก๊าซธรรมชาติในการทำความร้อนแทน
เมืองไคเซรี (Kayseri)
ไคเซรี เป็นเมืองอุตสาหกรรม
ไม่มีความสำคัญในฐานะเมืองท่องเที่ยว โบราณสถานหลักของเมืองคือ
ป้อมปราการที่สร้างโดยกษัตริย์จัสติเนียนุส (Justinianus)
ในปี ค.ศ. 500 สุเหร่าคูร์ชุนลู (Kursunlu) สุเหร่าฮูอันด์
ฮาทุน คูลลิเยสิ (Huand Hatun Kuliyesi) พิพิธภัณฑ์โบราณคดี
พิพิธภัณฑ์อตาเติร์ก คฤหาสน์ฤดูร้อนฮีซีร์ อิลยาส เคิชคี (Hizir
llyas Koshu) และสถานอาบน้ำแร่ที่สำคัญคือ ไบรัมพาซา (Bayrampass
Kaplicasi)
อาหารที่มีชื่อเสียงของไคเซรี เรียกว่า พาสทีร์มา (Pastirma)
ประกอบด้วยเนื้อวัวและเนื้อแกะตากแห้งผสมกระเทียม ลักษณะคล้ายซาลามี
เป็นอาหารแกล้มเหล้า และชูจุก (Sucuk) เป็นเนื้อยัดในลำไส้แพะ
มีทั้งแบบเผ็ดและไม่เผ็ด เก็บไว้ได้โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น ทั้งพาสทีร์มาและซูจุก
เป็นของฝากที่เลื่องชื่อที่ผู้มาเยือนไคเซรีต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับไป
อุชฮิซาร์ (Uchisar)
อยู่ห่างจากเกอเรเม่ 3 กิโลเมตร อยู่ในจังหวัด เนฟเชฮีร์
ชื่อเมืองมีความหมายว่า ป้อมปราการทั้งสาม (อุช แปลว่า สาม
ฮิซาร์ แปลว่า ป้อม) เพราะมีป้อมธรรมชาติอยู่ 3 แห่ง เป็นทำเลที่ดีในการป้องกันศัตรู
มีลักษณะเด่นเป็นภูเขาขนาดใหญ่ปุพรุนเหมือนรวงผึ้ง รอบๆ รายล้อมด้วยปล่องนางฟ้า
ทรงกระโจม และทรงเจดีย์เรียงรายอยู่ทั่วไปทั้งลูกใหญ่ลูกน้อย
ในอดีต อุชฮิซาร์ ถูกใช้เป็นหอคอย หอสังเกตุการณ์ และป้อมปราการธรรมชาติสำคัญในการเฝ้าระวังภัยจากศัตรู
โดยเฉพาะพวกโรมัน ในปัจจุบั ป้อมปราการอุชฮิซาร์ เปลี่ยนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นิยมของคัปปาโดเจีย
ชาวเมืองคัปปาโดเจียส่วนใหญ่ล้วนอาศัยอยู่ในปล่องไฟนางฟ้าในลักษณะ
บ้านถ้ำมาเป็นเวลาช้านานนับร้อยปีแล้ว
ชาวบ้านที่นี่เลือกสร้างที่อยู่อาศัยแบบ เจาะเข้าไปภายในหินและขุนเขา
โดยไม่มีการทุบทำลายหินเหล่านั้นทิ้ง เพื่อปรับพื้นที่ให้ราบเรียบเหมือนกับการก่อสร้างที่นิยมทำกันในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน สำหรับบ้านเรือนหลังใหม่ๆ ที่ปลูกสร้างเพิ่มเติมทีหลัง
ต่างก็พากันปลูกสร้างให้สอดรับกับภูมิประเทศเดิม เพื่อให้ดูกลมกลืนไม่แปลกแยก
ซึ่งนอกจากบ้านถ้ำของคนแล้ว ที่นี่ยังมีบ้านถ้ำของนกพิราบอีกด้วย
เนื่องจากเป็นถิ่นที่มีนกพิราบอาศัยอยู่มาก ชาวบ้านจึงขุดโพรง
เจาะรูเอาไว้ให้นกพิราบไว้อยู่อาศัย
บ้านถ้ำของนกพิราบ จึงเป็นบ้านนกที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงาม
เพื่อดึงดูดล่อตาล่อใจให้นกมาอาศัยอยู่ ทำให้อาชีพการเก็บปุ๋ยขี้นกพิราบเป็นอีกหนึ่งอาชีพของชาวบ้านในแถบนี้
|
พิพิธภัณฑ์เมฟลานา คอนย่า |
พิพิธภัณฑ์เมฟลานา คอนย่า |
พิพิธภัณฑ์เมฟลานา คอนย่า |
พิพิธภัณฑ์เมฟลานา คอนย่า |
|
ตุรกี
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศตุรกี
|
|
ตุรกี
ประเทศตุรกี ตุรกี (Turkey) ดินแดนสองบุคลิกเพียงหนึ่งเดียวในโลก
ที่มีอาณาเขตพาดผ่านแผ่นดินทั้งยุโรปและเอเชียผนึกแน่นเป็นเนื้อเดียว |
|
อาหารตุรกี
โรงแรมตุรกี อาหารตุรกีส่วนมากประกอบด้วยผักสด เนื้อวัว
เนื้อแกะ และอาหารทะเล แป้ง ขนมหวานของตุรกีที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลกได้แก่
เตอร์กิชดีไลท์ |
|
เที่ยวตุรกี
อิสตันบูล อิสตันบูล เป็นเมืองที่มีความสำคัญที่สุด เดิมชื่อว่า
คอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ |
|
|
|
|
|
|
|
ประเทศตุรกี
ปามุคคาเล่
ปามุคคาเล่ (Pamukkale) ในภาษาตุรกี หมายถึง ปราสาทปุยฝ้าย เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดิน |
|
ภาษาตุรกี
เรียนภาษาตุรกี ภาษาตุรกี : สวัสดี - Merhaba / สบายดีหรือ
- นัชซึลซึนึซ / ลาก่อน - อาล์ลาห์ อีซมาลาดึก / ขอบคุณ - เทเช็คคูร์
เอเดริม /ขอโทษ - โอชูร์ ดิเลริม |
|
|
ทัวร์โปรโมชั่น
โปรแกรมทัวร์อื่นๆ |
 |
โปรแกรมจอยทัวร์ |
|
| |
|